เวลาอ่านประโยคภาษาอังกฤษ แล้วมีความรู้สึกว่า ตัวนี้มันก็กริยา ตัวนั้นก็เป็นกริยา เอ๊ะ!! แล้วจะดูกริยาตัวไหนเพื่อให้แปลความหมายของประโยคได้ล่ะ
คำตอบที่บิ้วมีให้คือ เราต้องดูตัวที่เป็นกริยาแท้ (Finite Verb) ทีนี้คงต้องแปลไทยเป็นไทยอีกทีนึงนะคะ เพราะมีเด็กส่วนใหญ่ที่ทราบว่า Finite Verb คือ กริยาแท้ แต่พอถามต่อว่า แล้ว"กริยาแท้" ที่ว่านี้คืออะไร ถ้าตอบไม่ได้ก็แสดงว่าไม่ได้เข้าใจจริงๆ วิธีการคือ แปลไทยเป็นไทยอีกรอบค่ะ
กริยา แปลว่า คำที่แสดงอาการ การกระทำ(http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/thai04/34/workgroup/p12.htm)
แท้ แปลว่า ล้วนๆ ไม่ปลอม (พจนานุกรมไทย - ไทย ราชบัณฑิตยสถาน)
เพราะฉะนั้น กริยาแท้ ก็จะหมายถึง คำที่แสดงอาการ การกระทำล้วนๆ ไม่ปลอม = จริง
แปลให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ คำแสดงอาการหรือการกระทำเกิดขึ้นจริงๆ
ลองดูตามตัวอย่างนี้นะคะ
She is reading books. เขา (ผู้หญิง) กำลังอ่านหนังสือ
ถ้าบิ้วตั้งคำถามว่า ในประโยคนี้ มี"คำกริยา" กี่ตัว คำตอบก็คือ 2 ตัวใช่มั๊ยคะ คือ is กับ reading
แล้วถ้าบิ้วถามต่อไปอีกว่า แล้วตัวไหนคือ "กริยาแท้" คำตอบก็คืออะไรคะ ตอบในใจกันได้รึเปล่า
ถ้าเข้าใจความหมายของคำว่ากริยาแท้แล้วว่า มันคือคำที่แสดงอาการหรือคำที่มันมีการกระทำเกิดขึ้นจริงๆ คงจะตอบถูกกันทุกคนใช่มั๊ยคะว่ามันคือคำว่า reading
แล้ว is มันคือกริยาอะไร มันมาทำอะไรในประโยค??? ถ้าจะให้บิ้วตอบตามความเข้าใจของบิ้วเอง มันก็คือ "กริยาช่วย" ซึ่งจะได้เขียนในบล็อกอันถัดไป :)
สิ่งต่างๆ ที่จะได้นำเสนอนี้ เกิดขึ้นจากวิธีการคิดของผู้เขียนด้วยตนเอง มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้อ่านได้มีสูตรในการจำโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาแบบง่ายๆ หรือ วิธีการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในเนื้อหาด้านอื่นๆ ถ้าผู้อ่านท่านใดมีความประสงค์จะนำข้อมูลนี้ไปเผยแพร่ ผู้เขียนก็มีความยินดีและดีใจที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้ทุกๆคน ให้มีหลักการที่จะช่วยให้การเรียนรู้ภาษาอังกฤษง่ายขึ้น :) ขอบคุณทุกๆคนมากนะคะ ขอให้ชีวิตมีความสุขในทุกๆวันค่ะ
Saturday, December 31, 2011
ฟุ้งเฟื่อง เรื่องโครงสร้างกาลเวลา (คำถามและปฏิเสธ)
ไหนๆก็ไหนๆ แล้วนะคะ อันนี้ก็ไม่ใช่สูตรอะไรหรอกค่ะ เพียงแต่เป็นเนื้อหาที่น่าจะเรียกได้ว่า มีความ"ต่อเนื่อง" จากเรื่องโครงสร้างกาลเวลาแบบบอกเล่าก็ว่าได้
ถ้าจะว่ากันเรื่องโครงสร้างประโยคของกาลเวลาเนี่ย หลักๆ ยืนพื้นของภาษาอังกฤษ นอกจากบอกเล่า (Positive) แล้ว ก็จะมีคำถาม (Interrogative) และปฏิเสธ (Negative) ถ้าลองคิดง่ายๆ มันก็เหมือนเวลาเราคุยกันเนี่ยแหละค่ะ มันไม่ได้มีแต่ประโยคบอกเล่าแค่อย่างเดียว วันๆ นึง ใครจะเอาแต่พูดเอาแต่เล่าเรื่องใช่มั๊ยคะ มันก็ต้องมีการถามคำถาม หรือการบอกปัดนู่นปัดนี่ ไม่อยากทำนู่นทำนี่บ้างเป็นธรรมดา
ทีนี้ก็มาถึงโครงสร้างกันนะคะ ประโยคบอกเล่านี่ง่ายมาก พูดเฉยๆ ก็ขอแค่ให้มี ประธานแล้วก็กริยา ก็พอ (S+V) ไอ่ส่วนที่จะเป็นกรรมหรือส่วนขยายก็แล้วแต่จะพูดออกมาแล้วล่ะค่ะ ส่วนใช้ในสถานการณ์ไหน อดีต ปัจจุบัน อนาคต จะง่ายๆ หรือ ต่อเนื่อง หรือจะสมบูรณ์ ก็ขึ้นอยู่กับการใช้กาลเวลาแต่ละตัวแล้วค่ะ ตรงนี้บิ้วขอเน้นแค่เรื่องโครงสร้างอีกสองโครงสร้างที่เหลือ
เอาล่ะค่ะ ลองดูประโยคนี้นะคะ I like = ฉันชอบ แต่ถ้าเราจะบอกว่า ฉันไม่ชอบ คนบางคนอาจจะคิดออกมาแบบนี้เลยคือ I not like ซึ่งถ้าถามว่า มันสื่อความหมายได้มั๊ย ฟังแล้วเข้าใจมั๊ย คำตอบคือ เข้าใจค่ะ สื่อความหมายได้แต่ไม่ถูกหลักไวยากรณ์ ซึ่งประโยคที่ถูกต้องคือ I don't like หรือ I do not like
ความแตกต่างของสองประโยคนี้คือ คำว่า "do" ซึ่ง do ตัวนี้มันคือ กริยาช่วย (helping verb) ของ Present Simple ซึ่งจะใ้ช้กับสรรพนามที่ทำหน้าที่เป็นประธานอยู่ 4 ตัว คือ I, You, We, They และคำนามพหูพจน์ที่ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค
ข้อสรุปที่บิ้วต้องการจะบอกคือ เมื่อกล่าวถึงประโยคปฏิเสธ ทุกคนก็คงจะคิดถึงคำว่า "not" แต่พอคิดถึงคำว่า not แล้ว ก็ต้องนึกไปอีกว่า คำว่า not มันไม่สามารถอยู่โดดๆคนเดียวได้ มันไม่แข็งแรง มันจึงต้องการ v.ช่วย มาอยู่ข้างหน้ามัน ให้มาเดินนำหน้ามันก่อน ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนกับ ถ้าเราเอา not มาไว้ในประโยค มันทำให้รูปประโยคไม่ถูกต้อง มันเลยไม่แข็งแรง มันก็เลยต้องการกริยาช่วย มาเดินนำหน้า เป็นทัพหน้าให้มันก่อน เหมือนเสริมให้มันแข็งแรง ก็คือ มีรูปประโยคที่ถูกต้อง
ขอกล่าวถึงคำว่า "กริยาช่วย" ก่อนนะคะ ที่มันมาช่วย มันมาช่วยทำอะไร??? มันก็มาช่วยให้ประโยคกลายเป็นคำถามและปฏิเสธได้ ในน้องซิม ส่วนน้องอีกสามตัวที่เหลือ นอกจากจะมาช่วยให้ประโยคเป็นคำถามกับปฏิเสธได้แล้ว มันยังช่วยให้โครงสร้่างครบตามองค์ประกอบของแต่ละตัว คือทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาน่ะค่ะ ในส่วนของกริยาช่วยนี่ จะอธิบายในบล็อกต่อไปละกันนะคะ
ส่วนประโยคคำถามนั้น ให้จำติดไว้ในใจนะคะ ว่าคำถามมีแต่สองแบบคือ แบบที่ถามแล้วตอบได้แค่ Yes หรือ No กับ คำถามที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Questions ซึ่ง แบบที่ตอบได้แค่ Yes/No จะเป็นคำถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วยทั้งหมด ส่วนแบบ Wh-Questions ก็จะเป็นคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Q ทั้งหมด โดยตำแหน่งจะอยู่หน้ากริยาช่วยเสมอ ที่สำคัญคือ ห้ามลืมใส่เครื่องหมาย ? (Question Mark) ท้ายประโยคทุกครั้ง
สรุปเลยละกันค่ะ ถ้าพูดถึงเรื่องรูปแบบของโครงสร้างประโยคเีนี่ย หลักๆ เลย คือ มีบอกเล่า ปฏิเสธ แล้วก็คำถาม ซึ่งแต่ละอันสรุปได้แบบนี้ค่ะ
บอกเล่า = S+V
ปฏิเสธ = S + กริยาช่วย + not + กริยาแท้
คำถาม = กริยาช่วย + S + กริยาแท้? (Yes/No)
Wh-Q + กริยาช่วย + S + กริยาแท้? (Wh-Q)
เอาซะตีหนึ่งเลย ... งั้นคงต้องขอตัวก่อนละกันนะค้า เริ่มง่วง!!! เดี๋ยวคราวหน้า จะมาต่อเรื่องกริยากันแบบคร่าวๆค่ะ :)
ถ้าจะว่ากันเรื่องโครงสร้างประโยคของกาลเวลาเนี่ย หลักๆ ยืนพื้นของภาษาอังกฤษ นอกจากบอกเล่า (Positive) แล้ว ก็จะมีคำถาม (Interrogative) และปฏิเสธ (Negative) ถ้าลองคิดง่ายๆ มันก็เหมือนเวลาเราคุยกันเนี่ยแหละค่ะ มันไม่ได้มีแต่ประโยคบอกเล่าแค่อย่างเดียว วันๆ นึง ใครจะเอาแต่พูดเอาแต่เล่าเรื่องใช่มั๊ยคะ มันก็ต้องมีการถามคำถาม หรือการบอกปัดนู่นปัดนี่ ไม่อยากทำนู่นทำนี่บ้างเป็นธรรมดา
ทีนี้ก็มาถึงโครงสร้างกันนะคะ ประโยคบอกเล่านี่ง่ายมาก พูดเฉยๆ ก็ขอแค่ให้มี ประธานแล้วก็กริยา ก็พอ (S+V) ไอ่ส่วนที่จะเป็นกรรมหรือส่วนขยายก็แล้วแต่จะพูดออกมาแล้วล่ะค่ะ ส่วนใช้ในสถานการณ์ไหน อดีต ปัจจุบัน อนาคต จะง่ายๆ หรือ ต่อเนื่อง หรือจะสมบูรณ์ ก็ขึ้นอยู่กับการใช้กาลเวลาแต่ละตัวแล้วค่ะ ตรงนี้บิ้วขอเน้นแค่เรื่องโครงสร้างอีกสองโครงสร้างที่เหลือ
เอาล่ะค่ะ ลองดูประโยคนี้นะคะ I like = ฉันชอบ แต่ถ้าเราจะบอกว่า ฉันไม่ชอบ คนบางคนอาจจะคิดออกมาแบบนี้เลยคือ I not like ซึ่งถ้าถามว่า มันสื่อความหมายได้มั๊ย ฟังแล้วเข้าใจมั๊ย คำตอบคือ เข้าใจค่ะ สื่อความหมายได้แต่ไม่ถูกหลักไวยากรณ์ ซึ่งประโยคที่ถูกต้องคือ I don't like หรือ I do not like
ความแตกต่างของสองประโยคนี้คือ คำว่า "do" ซึ่ง do ตัวนี้มันคือ กริยาช่วย (helping verb) ของ Present Simple ซึ่งจะใ้ช้กับสรรพนามที่ทำหน้าที่เป็นประธานอยู่ 4 ตัว คือ I, You, We, They และคำนามพหูพจน์ที่ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค
ข้อสรุปที่บิ้วต้องการจะบอกคือ เมื่อกล่าวถึงประโยคปฏิเสธ ทุกคนก็คงจะคิดถึงคำว่า "not" แต่พอคิดถึงคำว่า not แล้ว ก็ต้องนึกไปอีกว่า คำว่า not มันไม่สามารถอยู่โดดๆคนเดียวได้ มันไม่แข็งแรง มันจึงต้องการ v.ช่วย มาอยู่ข้างหน้ามัน ให้มาเดินนำหน้ามันก่อน ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนกับ ถ้าเราเอา not มาไว้ในประโยค มันทำให้รูปประโยคไม่ถูกต้อง มันเลยไม่แข็งแรง มันก็เลยต้องการกริยาช่วย มาเดินนำหน้า เป็นทัพหน้าให้มันก่อน เหมือนเสริมให้มันแข็งแรง ก็คือ มีรูปประโยคที่ถูกต้อง
ขอกล่าวถึงคำว่า "กริยาช่วย" ก่อนนะคะ ที่มันมาช่วย มันมาช่วยทำอะไร??? มันก็มาช่วยให้ประโยคกลายเป็นคำถามและปฏิเสธได้ ในน้องซิม ส่วนน้องอีกสามตัวที่เหลือ นอกจากจะมาช่วยให้ประโยคเป็นคำถามกับปฏิเสธได้แล้ว มันยังช่วยให้โครงสร้่างครบตามองค์ประกอบของแต่ละตัว คือทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาน่ะค่ะ ในส่วนของกริยาช่วยนี่ จะอธิบายในบล็อกต่อไปละกันนะคะ
ส่วนประโยคคำถามนั้น ให้จำติดไว้ในใจนะคะ ว่าคำถามมีแต่สองแบบคือ แบบที่ถามแล้วตอบได้แค่ Yes หรือ No กับ คำถามที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Questions ซึ่ง แบบที่ตอบได้แค่ Yes/No จะเป็นคำถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วยทั้งหมด ส่วนแบบ Wh-Questions ก็จะเป็นคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Q ทั้งหมด โดยตำแหน่งจะอยู่หน้ากริยาช่วยเสมอ ที่สำคัญคือ ห้ามลืมใส่เครื่องหมาย ? (Question Mark) ท้ายประโยคทุกครั้ง
สรุปเลยละกันค่ะ ถ้าพูดถึงเรื่องรูปแบบของโครงสร้างประโยคเีนี่ย หลักๆ เลย คือ มีบอกเล่า ปฏิเสธ แล้วก็คำถาม ซึ่งแต่ละอันสรุปได้แบบนี้ค่ะ
บอกเล่า = S+V
ปฏิเสธ = S + กริยาช่วย + not + กริยาแท้
คำถาม = กริยาช่วย + S + กริยาแท้? (Yes/No)
Wh-Q + กริยาช่วย + S + กริยาแท้? (Wh-Q)
เอาซะตีหนึ่งเลย ... งั้นคงต้องขอตัวก่อนละกันนะค้า เริ่มง่วง!!! เดี๋ยวคราวหน้า จะมาต่อเรื่องกริยากันแบบคร่าวๆค่ะ :)
Friday, December 30, 2011
โครงสร้างกาลเวลา ทั้ง 12 กาลเวลา คิดเปรียบเทียบกับการบวกเลขแบบง่ายๆ
ให้คิดถึงว่า ช่วงเวลาในโลกนี้ไม่ว่าจะภาษาไหนๆ ก็จะมีช่วงเวลาที่เป็นปัจจุบัน (Present) อดีต (Past) และอนาคต (Future) และช่วงเวลาใหญ่ๆ นี้ ให้ถือเป็นคุณแม่สามคน ที่แต่ละคนมีลูกคนละ 4 คน คนแรกคือ น้องซิม (Simple) เป็นคนง่ายๆ คนที่สองคือ น้องคอนท์ เป็นคนที่ชอบทำอะไรต่อเนื่องกัน คนที่สามเป็นคนที่เพรียบพร้อมสมบูรณ์คือ น้องเพอ (Perfect) ส่วนคนสุดท้าย เป็นคนที่เพียบพร้อมและชอบทำอะไรต่อเนื่องคือ น้องเพอคอนท์ (Perfect Continuous)
สิ่งที่ต้องรู้ในขั้นต่อไปคือ กริยาพื้นฐานหรือกริยาหลักของตัวคุณแม่แต่ละตัว ถ้าพูดถึงคุณแม่ที่สนใจในเหตุการณ์ปัจจุบัน รูปกริยาที่ใช้คือ กริยาช่องที่ 1 (Present = V.1) คุณแม่ที่สนใจในเรื่องที่เป็นอดีต รูปกริยาที่ใช้คือ กริยาช่องที่ 2 (Past = V.2) ส่วนคุณแม่ที่สนใจเรื่องอนาคต จะใช้รูปกริยาคือ (Future = will + V.infinitive)
ก่อนที่จะอ่านขั้นตอนต่อไป บิ้วอยากจะให้ทุกคนเข้าใจและจดจำรายละเอียดข้างต้นนี้ให้ได้ก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวสิ่งที่ตามมาจะง่ายมากค่ะ ไม่ต้องเสียเวลาท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองเลยค่ะ
ตอนนี้ก็จะมาถึงวิธีการเอาชื่อของ tense พร้อมกับกริยาหลักมาบวกกันแล้วนะคะ
Tense แรกที่มักจะพูดถึงกันบ่อยๆ และได้เรียนก่อน tense อื่น ๆคือ Present Simple ใช่มั๊ยคะ ก่อนที่จะเอามาเข้าสูตร อยากจะบอกไว้ก่อนค่ะว่า เราต้องเอาตัวคุณแม่ตั้งต้นขึ้นทุกครั้งนะคะ เพื่อที่จะได้ไม่งงค่ะ
ให้จำไว้ซะว่า แม่ให้กำเนิด แม่เกิดก่อนเรา ต้องให้เกียรติคุณแม่ก่อนประมาณนี้ก็ได้ค่ะ
Present + Simple
V.1 + _____ = S+V.1 เนื่องจาก น้องซิมเป็นน้องง่ายๆค่ะ ไม่มีอะไรเป็นรูปกริยาหลัก
เราก็สามารถเอามารวมกับตัวแม่ได้เลย
วิธีการของ Past Simple กับ Future Simple ก็จะคิดเหมือนกันค่ะ
Past + Simple
V.2 + _____ = S+V.2
Future + Simple
will + V.infinitive + _____ = S+will + V.infinitive
ตามนี้นะคะ เดี๋ยวเรามาลองคำนวณน้องคอนท์ไปพร้อมๆกันดูนะคะ
Present + Continuous
V.1 + V.to. be + V.ing = S+V.1ของ V. to be คือ is, am, are + V.ing
= S + is/am/are + V.ing
Past + Continuous
V.2 + V.to. be + V.ing = S+V.2ของ V. to be คือ was, were + V.ing
= S + was/were+ V.ing
Future + Continuous
will + V.infinitive + V.to. be + V.ing = S+ will + V.infinitive ของ V. to be คือ be+ V.ing
= S + wil + be + V.ing
ต่อไปก็น้องเพอ
Present + Perfect
V.1 + V.to. have + V.3 = S+V.1ของ V. to have คือ have, has + V.3
= S + have/has + V.3
Past + Perfect
V.2 + V.to. have + V.3 = S+V.2ของ V. to have คือ had + V.3
= S + had + V.3
Future + Perfect
will + V.infinitive + V.to. have + V.3 = S+ will + V.infinitive ของ V. to have คือ have + V.3
= S + wil + have + V.3
ส่วนคนสุดท้าย มันเหมือนจะยาวเหมือนจะยาก แต่จริงๆแล้วง่ายสุดๆเลยค่ะ ถ้าจำโครงสร้างกริยาหลักของน้องเพอคอนท์ได้นะคะ ตรง V.to have จะเหมือนในคนที่สามหมดเลยค่ะ ต่างกันแค่แทนที่ V.3 เป็นคำว่า been แล้วก็ตามด้วย V.ing แค่นั้นเองค่ะ
หลักการของการเอามาบวกกัน ถ้าจะพูดเป็นข้อๆ ได้ดังนี้ค่ะ
1. เอาตัวแม่ขึ้นหน้าก่อนแล้วตามด้วยตัวลูก
2. ถ้าตัวแม่มีหาง ให้หางรวมกับกริยาตั้งต้นของตัวลูกเช่น ในtense future ตัวตั้งต้นจะเป็น will แล้วตามด้วย V.infinitive ใช่มั๊ยคะ ให้เอาตัวหางของแม่ ไปบวกรวมเข้ากับตัวตั้งต้นของลูกค่ะ (ลองอ่านคำอธิบายสั้นๆ ที่เขียนกำกับไว้ให้ในtenseตัวอย่างนะคะ)
3. ตัวที่ไม่ได้กล่าวถึงในข้อสอง ก็ไม่ต้องไปเปลี่ยนอะไรมันค่ะ เอามันลงตามโครงสร้างได้เลย
หมายเหตุ หลักการนี้ บิ้วให้เป็นหลักในการจำโครงสร้างในรูปแบบบอกเล่าเท่านั้นนะคะ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เช่น รูปแบบประโยคคำถามหรือปฏิเสธ หรือสถานการณ์ที่ใช้ในแต่ละ tense ต้องไปศึกษาเพิ่มเติมเองค่ะ
สิ่งที่อยากจะแนะให้ท้ายสุดคือ ถ้าคิดตามแบบวิธีนี้ให้ได้ผลคือ ต้องเข้าใจโครงสร้างใหญ่คือตัวแม่ทั้งสามพร้อมด้วยตัวลูกทั้งสี่ให้ได้ก่อน จากนั้นก็จำว่าทั้งตัวแม่และตัวลูกแต่ละอันมีรูปกริยาหลัก หรือ โครงสร้างพื้นฐานอย่างไรบ้าง แล้วก็แค่นำมาบวกกัน แค่นั้นเองค่ะ
ตอนนี้คงต้องขอตัวก่อนนะคะ สงสัยจะอ่านกันเบื่อแล้วแน่เลย แต่ลองทำดูนะค้า ไม่ยากหรอกค่า :)
สิ่งที่ต้องรู้ในขั้นต่อไปคือ กริยาพื้นฐานหรือกริยาหลักของตัวคุณแม่แต่ละตัว ถ้าพูดถึงคุณแม่ที่สนใจในเหตุการณ์ปัจจุบัน รูปกริยาที่ใช้คือ กริยาช่องที่ 1 (Present = V.1) คุณแม่ที่สนใจในเรื่องที่เป็นอดีต รูปกริยาที่ใช้คือ กริยาช่องที่ 2 (Past = V.2) ส่วนคุณแม่ที่สนใจเรื่องอนาคต จะใช้รูปกริยาคือ (Future = will + V.infinitive)
ส่วนคุณลูกแต่ละคน คนแรกก็เป็นคนง่ายๆ ไม่มีกฏเกณฑ์อะไร คุณลูกคนที่สองคือน้องคอนท์ จะต้องมีกริยารูปนี้ติดตัวอยู่เสมอ V.to be + V.ing ส่วนน้องเพอ ลูกคนที่สาม คิดถึงเด็กคนนี้แล้ว จะต้องนึกถึง V.to have + V.3 มาถึงลูกคนสุดท้าย คนที่แค่ชื่อก็บ่งบอกยี่ห้อแล้วว่า ทั้งเพอและคอนท์ ก็จะสามารถใช้สูตรในการบวกโครงสร้างได้ดังนี้คือ
Perfect + Continuous = Perfect Continuous
V.to have + V.3 + V.to be + V.ing = V.to have + V.3 ของ V.to be (been) +
V.ing
เพราะฉะนั้นโครงสร้างของ Perfect Continuous คือ V.to have + been + V.ing
ก่อนที่จะอ่านขั้นตอนต่อไป บิ้วอยากจะให้ทุกคนเข้าใจและจดจำรายละเอียดข้างต้นนี้ให้ได้ก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวสิ่งที่ตามมาจะง่ายมากค่ะ ไม่ต้องเสียเวลาท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองเลยค่ะ
ตอนนี้ก็จะมาถึงวิธีการเอาชื่อของ tense พร้อมกับกริยาหลักมาบวกกันแล้วนะคะ
Tense แรกที่มักจะพูดถึงกันบ่อยๆ และได้เรียนก่อน tense อื่น ๆคือ Present Simple ใช่มั๊ยคะ ก่อนที่จะเอามาเข้าสูตร อยากจะบอกไว้ก่อนค่ะว่า เราต้องเอาตัวคุณแม่ตั้งต้นขึ้นทุกครั้งนะคะ เพื่อที่จะได้ไม่งงค่ะ
ให้จำไว้ซะว่า แม่ให้กำเนิด แม่เกิดก่อนเรา ต้องให้เกียรติคุณแม่ก่อนประมาณนี้ก็ได้ค่ะ
Present + Simple
V.1 + _____ = S+V.1 เนื่องจาก น้องซิมเป็นน้องง่ายๆค่ะ ไม่มีอะไรเป็นรูปกริยาหลัก
เราก็สามารถเอามารวมกับตัวแม่ได้เลย
วิธีการของ Past Simple กับ Future Simple ก็จะคิดเหมือนกันค่ะ
Past + Simple
V.2 + _____ = S+V.2
Future + Simple
will + V.infinitive + _____ = S+will + V.infinitive
ตามนี้นะคะ เดี๋ยวเรามาลองคำนวณน้องคอนท์ไปพร้อมๆกันดูนะคะ
Present + Continuous
V.1 + V.to. be + V.ing = S+V.1ของ V. to be คือ is, am, are + V.ing
= S + is/am/are + V.ing
Past + Continuous
V.2 + V.to. be + V.ing = S+V.2ของ V. to be คือ was, were + V.ing
= S + was/were+ V.ing
Future + Continuous
will + V.infinitive + V.to. be + V.ing = S+ will + V.infinitive ของ V. to be คือ be+ V.ing
= S + wil + be + V.ing
ต่อไปก็น้องเพอ
Present + Perfect
V.1 + V.to. have + V.3 = S+V.1ของ V. to have คือ have, has + V.3
= S + have/has + V.3
Past + Perfect
V.2 + V.to. have + V.3 = S+V.2ของ V. to have คือ had + V.3
= S + had + V.3
Future + Perfect
will + V.infinitive + V.to. have + V.3 = S+ will + V.infinitive ของ V. to have คือ have + V.3
= S + wil + have + V.3
ส่วนคนสุดท้าย มันเหมือนจะยาวเหมือนจะยาก แต่จริงๆแล้วง่ายสุดๆเลยค่ะ ถ้าจำโครงสร้างกริยาหลักของน้องเพอคอนท์ได้นะคะ ตรง V.to have จะเหมือนในคนที่สามหมดเลยค่ะ ต่างกันแค่แทนที่ V.3 เป็นคำว่า been แล้วก็ตามด้วย V.ing แค่นั้นเองค่ะ
หลักการของการเอามาบวกกัน ถ้าจะพูดเป็นข้อๆ ได้ดังนี้ค่ะ
1. เอาตัวแม่ขึ้นหน้าก่อนแล้วตามด้วยตัวลูก
2. ถ้าตัวแม่มีหาง ให้หางรวมกับกริยาตั้งต้นของตัวลูกเช่น ในtense future ตัวตั้งต้นจะเป็น will แล้วตามด้วย V.infinitive ใช่มั๊ยคะ ให้เอาตัวหางของแม่ ไปบวกรวมเข้ากับตัวตั้งต้นของลูกค่ะ (ลองอ่านคำอธิบายสั้นๆ ที่เขียนกำกับไว้ให้ในtenseตัวอย่างนะคะ)
3. ตัวที่ไม่ได้กล่าวถึงในข้อสอง ก็ไม่ต้องไปเปลี่ยนอะไรมันค่ะ เอามันลงตามโครงสร้างได้เลย
หมายเหตุ หลักการนี้ บิ้วให้เป็นหลักในการจำโครงสร้างในรูปแบบบอกเล่าเท่านั้นนะคะ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เช่น รูปแบบประโยคคำถามหรือปฏิเสธ หรือสถานการณ์ที่ใช้ในแต่ละ tense ต้องไปศึกษาเพิ่มเติมเองค่ะ
สิ่งที่อยากจะแนะให้ท้ายสุดคือ ถ้าคิดตามแบบวิธีนี้ให้ได้ผลคือ ต้องเข้าใจโครงสร้างใหญ่คือตัวแม่ทั้งสามพร้อมด้วยตัวลูกทั้งสี่ให้ได้ก่อน จากนั้นก็จำว่าทั้งตัวแม่และตัวลูกแต่ละอันมีรูปกริยาหลัก หรือ โครงสร้างพื้นฐานอย่างไรบ้าง แล้วก็แค่นำมาบวกกัน แค่นั้นเองค่ะ
ตอนนี้คงต้องขอตัวก่อนนะคะ สงสัยจะอ่านกันเบื่อแล้วแน่เลย แต่ลองทำดูนะค้า ไม่ยากหรอกค่า :)
Subscribe to:
Posts (Atom)