สำหรับเนื้อหาไวยากรณ์เรื่องนี้นะคะ เราต้องมาทำความรู้จักกับตัวแสดงหลักทั้งสองตัวก่อนค่ะ
Direct Speech - Direct แปลว่า "ตรง" Speech แปลว่า "คำพูด" เอามารวมกัน ก็จะหมายถึง "คำพูดที่ตรงออกมาจากปากของผู้พูด" ก็คือ "คำพูดที่ผู้พูดเป็นคนพูดเอง" จะสังเกตได้ว่า ประโยคที่เป็น Direct Speech จะเป็นประโยคที่อยู่ในเครื่องหมายคำพูด "..."
Indirect แปลว่า "ไม่ตรง" เพราะฉะนั้น Indirect Speech แปลว่า "คำพูดที่ไม่ได้ออกจากปากของผู้พูดโดยตรง แต่เป็นผู้อื่นที่กล่าวแทน" สรุปง่ายๆ คือ เป็นคำพูดที่ผู้อื่นเอาไปพูดต่อ
Reported แปลว่า "ที่ถูกรายงาน" เพราะฉะนั้น Reported Speech แปลว่า "คำพูดที่ถูกรายงาน(โดยผู้อื่นที่ไม่ได้เป็นคนพูดประโยคนั้น)" Indirect Speech หรือ Reported Speech เป็นตัวเดียวกัน แค่มีชื่อเรียกที่ต่างกัน แต่ในรายละเอียดเหมือนกันหมด
หลักในการทำประโยคDirect Speech ให้เป็น Indirect (Reported) Speech มีอยู่ 5 ข้อ
1. เปลี่ยนสรรพนาม (Shifting Pronouns) ต้องเปลี่ยนตามสถานการณ์ ให้ดูตามประโยคว่าใครเป็นคนพูด หรือใครเป็นคนที่ถูกพูดด้วย ต้องมีความรู้เรื่องคำสรรพนามทั้งหมด
สูตรของการเปลี่ยนสรรพนามที่ทำหน้าที่เป็นประธาน (Subject Pronouns)
Direct Indirect (Reported)
He/She said "I...... He/ She said he/she....
They said "We..... They said they...........
นอกเหนือจากสูตรข้างบนนี้ ไม่ว่าอะไรจะอยู่หน้า said หรืออยู่หลังเครื่องหมายคำพูด"..."ก็ตาม ไม่ต้องเปลี่ยน
เช่น Direct Speech: She said "They'.....
Indirect (Reported) Speech: She said they....
2. เปลี่ยนสถานที่ (Shifting Place) เปลี่ยนแค่ตัวเดียว คือถ้าเห็น here (ทีนี่)ในdirect speech ให้เปลี่ยนเป็น there (ที่นั่น) ใน indirect (reported speech)
3. เปลี่ยนคำบอกเวลา (Shifting Time Expressions) ท่องจำอย่างเดียว
4. ย้อนกาลเวลา (Shifting Tenses) ต้องแม่นโครงสร้างกาลเวลา ต้องรู้ว่ากาลเวลานี้มีโครงสร้างประโยคบอกเล่า คำถามหรือปฏิเสธเป็นแบบไหน ต้องรู้เกี่ยวกับกริยาช่วยพื้นฐานทั้ง 3 ตัว คือ V.to be, V. to do, V. to have (เรื่องกริยาช่วยมีเขียนไว้แล้วในบล็อกนี้ ย้อนไปอ่านได้ค่ะ) นอกจากนี้ยังต้องรู้เรื่องพจน์ของประธานแล้วก็พจน์ของกริยาด้วย และสุดท้ายคือมีความรู้เรื่องกริยาสามช่อง
ซึ่งการย้อนกาลเวลานี้ แบ่งออกเป็นหัวข้อย่อยๆได้อีกสองหัวข้อ คือ
1. ไม่มีการย้อนกาลเวลา (No backshift) ในกรณีที่ ในdirect speech มี say/says, will say
2. มีการย้อนกาลเวลา (Backshift) ศึกษาตามกฏการย้อนกาลเวลาปกติ
5. เอาเครื่องหมายคำพูดออก (Omitting the quotation mark) การนำคำพูดของคนอื่นมาพูด คำพูดนั้นไม่สามารถอยู่ในเครื่องหมายคำพูดได้ เพราะผู้พูดไม่ได้เป็นคนพูดประโยคนั้นเอง
สิ่งต่างๆ ที่จะได้นำเสนอนี้ เกิดขึ้นจากวิธีการคิดของผู้เขียนด้วยตนเอง มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้อ่านได้มีสูตรในการจำโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาแบบง่ายๆ หรือ วิธีการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในเนื้อหาด้านอื่นๆ ถ้าผู้อ่านท่านใดมีความประสงค์จะนำข้อมูลนี้ไปเผยแพร่ ผู้เขียนก็มีความยินดีและดีใจที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้ทุกๆคน ให้มีหลักการที่จะช่วยให้การเรียนรู้ภาษาอังกฤษง่ายขึ้น :) ขอบคุณทุกๆคนมากนะคะ ขอให้ชีวิตมีความสุขในทุกๆวันค่ะ
Tuesday, January 31, 2012
Saturday, January 28, 2012
Comparisons
Comparisons คือ การเปรียบเทียบ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. การเปรียบเทียบคำคุณศัพท์ (Adjective)
2. การเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb)
ซึ่งในแต่ละประเภทก็จะสามารถแบ่งการเปรียบเทียบได้อีก 3 รูปแบบ คือ
1. ขั้นเท่า (Positive Degree)
2. ขั้นกว่า (Comparative Degree)
3. ขั้นสุด (Superlative Degree)
เนื้อหาของแต่ละขั้นแทบจะไม่มีความต่างกันเลยในการเปรียบเทียบคำคุณศัพท์และคำกริยาวิเศษณ์
สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ กริยาที่ใช้ในชนิดของคำ โดย
คำคุณศัพท์ (Adjective) ทำหน้าที่ ขยายคำนาม จะตามหลัง V. to be หรือ Linking V. แล้วจะเป็นการเปรียบเทียบ "คุณลักษณะ คุณสมบัติ"
คำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) ทำหน้าที่ ขยายคำกริยา คำคุณศัพท์ และคำกริยาวิเศษณ์อื่นๆ (แต่ ณ ที่นี่ขอให้เด็กๆเน้นแต่หน้าที่ในการขยายคำกริยา ก็จะเป็นการเปรียบเทียบ "การกระทำกริยาของคำนาม")
เพราะฉะนั้น จะสามารถแยกโครงสร้างของการใช้คำแต่ละชนิดได้ดังนี้คือ
คำคุณศัพท์ = S + V. to be/ Linking V. + Adjective
คำกริยาวิเศษณ์ = S + V + (O) + Adverb (ที่ต้องวงเล็บ O ไว้เพราะ อาจจะมีกรรมหรือไม่มีกรรมก็ได้)
ดังนั้น ก่อนที่จะกล่าวเนื้อหาของแต่ละขั้น จึงจะสรุปไว้ตรงนี้เลยว่า "ถ้าอยากรู้ว่า ประโยคนั้นเป็นการเปรียบเทียบคำคุณศัพท์หรือคำกริยาวิเศษณ์ให้สังเกตที่กริยา โดย
ถ้ากริยาเป็น V. to be/ Linking V. แสดงว่า ประโยคนั้นเป็นการเปรียบเทียบคำคุณศัพท์
แต่ถ้ากริยาเป็น กริยาทั่วไปๆ ที่ปรากฎในกาลเวลาทั่วๆไป จะวิ่ง กิน นอน เดิน หรืออะไรก็ตามที่เป็นกริยา (จะอยู่ในรูปอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตก็แล้วแต่ ขอแค่อย่าเป็น V.to be หรือ Linking V. เป็นพอ) แสดงว่าประโยคนั้นเป็นการเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์
ทีนี้เนื้อหาแต่ละขั้นง่ายมากค่ะ มาดูกันเลย
1. ขั้นเท่า ก็จะแบ่งเป็นย่อยๆ อีกสองขั้นคือ
- ขั้นเท่า คือ มีความเหมือนกัน as_____________as
- ขั้นไม่เท่า คือ มีความไม่เหมือนกัน not as/so____________as
2. ขั้นกว่า จะเปรียบเทียบแค่ 2 ถ้าเป็นการเปรียบเทียบคำคุณศัพท์ ก็จะเป็น 2 คน 2 สิ่ง 2 ตัว 2 ที่ 2 อะไรก็ได้ค่ะ ขอให้เป็นสอง แต่ถ้าเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์ ก็จะเป็นการกระทำ 2 การกระทำ
ตัวสังเกตของ ขั้นนี้ จะมี
-adj. หรือ adv. ที่สามารถเติมer ได้เลย
- more ตามด้วย adj หรือ adv. โดยที่ไม่มี er ต่อท้าย ให้จำไว้เสมอว่า ถ้ามี more อยู่หน้า adj หรือ adv. ตัวไหน ก็ห้ามใส่ -er เด็ดขาด
- than จะใช้มาเชื่อมในกรณีที่มีคำนามตัวที่หนึ่งขึ้นต้นประโยคแล้วมีคำนามตัวที่สองปิดท้ายประโยค ซึ่งคำนามหรือคำสรรพนามตัวที่สองจะอยู่หลังแดนเสมอ ถ้าในประโยคมีคำนามแค่ตัวเดียว แต่เป็นการเปรียบเทียบขั้นกว่า ไม่ต้องใช้than ค่ะ
3. ขั้นสุด ตามทฤษฎีจะชอบบอกว่า เปรียบเทียบมากกว่า 3 ถ้าเป็นการเปรียบเทียบคำคุณศัพท์ ก็จะมากกว่า 3คน 3 สิ่ง 3 ตัว 3 ที่ 3 อะไรก็ได้ค่ะ ขอให้มากกว่าสามขึ้นไป แต่ถ้าเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์ ก็จะเป็นการกระทำที่มีคนมากกว่า 3 คนในการกระทำนั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะมีเพียง "หนึ่งเดียว ที่เป็นที่สุด" ถึงจะเรียกว่า "ขั้นสุด" ได้ใช่มั๊ยคะ เพราะฉะนั้น ตามหลักจริงๆแล้ว ประโยคขั้นสุด จะมี"คำนามขึ้นต้นประโยคเพียงแค่ตัวเดียว"เพื่อบ่งบอก "ความเป็นที่สุด"
ตัวสังเกตของ ขั้นนี้ จะมี
-adj. หรือ adv. ที่สามารถเติมest ได้เลย
- most ตามด้วย adj หรือ adv. โดยที่ไม่มี est ต่อท้าย ให้จำไว้เสมอว่า ถ้ามี most อยู่หน้า adj หรือ adv. ตัวไหน ก็ห้ามใส่ -est เด็ดขาด
- the ขั้นสุดต้องมี the กำกับอยู่หน้า adj.+ est เสมอ หรือในกรณีที่คำไหนใส่ est ไม่ได้ ต้องเอา most ไว้ข้างหน้า ก็ให้เอา the วางไว้หน้า most ในกรณีที่เป็นการเปรียบเทียบขั้นสุดของ adjective
แต่ถ้าเป็นการเปรียบเทียบขั้นสุด ของ adverb ไม่ต้องใส่ the นำหน้า adv. + -est หรือ หน้า most + adv.
- ขั้นสุดจะชอบมีวลีพวกนี้ต่อท้ายอยู่ค่ะ in the world, in the class, in the room คือมันจะที่สุดในโลก ในชั้นเรียน ในห้องเรียน หรือในอะไรก็ว่าไปค่ะ กับพวกนี้ I've ever known, I've seen เท่าที่ฉันเลยรู้มา เท่าที่ฉันเคยเห็นมา
สรุปสั้้นๆ คือ การใช้ the ในขั้นสุดใช้ได้กับการเปรียบเทียบคำคุณศัพท์ แต่ถ้าเป็นการเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์ไม่ต้องใช้ the นะจ๊ะ :)
มีเท่านี้แหละค่า ส่วนพวกกฏการทำคำคุณศัพท์ให้เป็นขั้นกว่ากับขั้นสุดมันไม่ยากนะจ๊ะ ขอไม่สรุปลงในนี้แล้วกันนะค้า แต่มีอะไรที่อยากจะบอกซักนิดนึงว่า เรื่องการเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์เนี่ย ก่อนที่จะทำได้ เราต้องรู้หลักการเปลี่ยนคำคุณศัพท์เป็นคำกริยาวิเศษณ์ก่อนนะคะ แต่จะมีอยู่ 3 คำ ที่สามารถเป็นได้ทั้งคำคุณศัพท์และคำกริยาวิเศษณ์ได้เลยคือ hard, fast, long, high คำอื่นๆ ก็ต้องไปทวนเนื้อหากันเองนะค้า
1. การเปรียบเทียบคำคุณศัพท์ (Adjective)
2. การเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb)
ซึ่งในแต่ละประเภทก็จะสามารถแบ่งการเปรียบเทียบได้อีก 3 รูปแบบ คือ
1. ขั้นเท่า (Positive Degree)
2. ขั้นกว่า (Comparative Degree)
3. ขั้นสุด (Superlative Degree)
เนื้อหาของแต่ละขั้นแทบจะไม่มีความต่างกันเลยในการเปรียบเทียบคำคุณศัพท์และคำกริยาวิเศษณ์
สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ กริยาที่ใช้ในชนิดของคำ โดย
คำคุณศัพท์ (Adjective) ทำหน้าที่ ขยายคำนาม จะตามหลัง V. to be หรือ Linking V. แล้วจะเป็นการเปรียบเทียบ "คุณลักษณะ คุณสมบัติ"
คำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) ทำหน้าที่ ขยายคำกริยา คำคุณศัพท์ และคำกริยาวิเศษณ์อื่นๆ (แต่ ณ ที่นี่ขอให้เด็กๆเน้นแต่หน้าที่ในการขยายคำกริยา ก็จะเป็นการเปรียบเทียบ "การกระทำกริยาของคำนาม")
เพราะฉะนั้น จะสามารถแยกโครงสร้างของการใช้คำแต่ละชนิดได้ดังนี้คือ
คำคุณศัพท์ = S + V. to be/ Linking V. + Adjective
คำกริยาวิเศษณ์ = S + V + (O) + Adverb (ที่ต้องวงเล็บ O ไว้เพราะ อาจจะมีกรรมหรือไม่มีกรรมก็ได้)
ดังนั้น ก่อนที่จะกล่าวเนื้อหาของแต่ละขั้น จึงจะสรุปไว้ตรงนี้เลยว่า "ถ้าอยากรู้ว่า ประโยคนั้นเป็นการเปรียบเทียบคำคุณศัพท์หรือคำกริยาวิเศษณ์ให้สังเกตที่กริยา โดย
ถ้ากริยาเป็น V. to be/ Linking V. แสดงว่า ประโยคนั้นเป็นการเปรียบเทียบคำคุณศัพท์
แต่ถ้ากริยาเป็น กริยาทั่วไปๆ ที่ปรากฎในกาลเวลาทั่วๆไป จะวิ่ง กิน นอน เดิน หรืออะไรก็ตามที่เป็นกริยา (จะอยู่ในรูปอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตก็แล้วแต่ ขอแค่อย่าเป็น V.to be หรือ Linking V. เป็นพอ) แสดงว่าประโยคนั้นเป็นการเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์
ทีนี้เนื้อหาแต่ละขั้นง่ายมากค่ะ มาดูกันเลย
1. ขั้นเท่า ก็จะแบ่งเป็นย่อยๆ อีกสองขั้นคือ
- ขั้นเท่า คือ มีความเหมือนกัน as_____________as
- ขั้นไม่เท่า คือ มีความไม่เหมือนกัน not as/so____________as
2. ขั้นกว่า จะเปรียบเทียบแค่ 2 ถ้าเป็นการเปรียบเทียบคำคุณศัพท์ ก็จะเป็น 2 คน 2 สิ่ง 2 ตัว 2 ที่ 2 อะไรก็ได้ค่ะ ขอให้เป็นสอง แต่ถ้าเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์ ก็จะเป็นการกระทำ 2 การกระทำ
ตัวสังเกตของ ขั้นนี้ จะมี
-adj. หรือ adv. ที่สามารถเติมer ได้เลย
- more ตามด้วย adj หรือ adv. โดยที่ไม่มี er ต่อท้าย ให้จำไว้เสมอว่า ถ้ามี more อยู่หน้า adj หรือ adv. ตัวไหน ก็ห้ามใส่ -er เด็ดขาด
- than จะใช้มาเชื่อมในกรณีที่มีคำนามตัวที่หนึ่งขึ้นต้นประโยคแล้วมีคำนามตัวที่สองปิดท้ายประโยค ซึ่งคำนามหรือคำสรรพนามตัวที่สองจะอยู่หลังแดนเสมอ ถ้าในประโยคมีคำนามแค่ตัวเดียว แต่เป็นการเปรียบเทียบขั้นกว่า ไม่ต้องใช้than ค่ะ
3. ขั้นสุด ตามทฤษฎีจะชอบบอกว่า เปรียบเทียบมากกว่า 3 ถ้าเป็นการเปรียบเทียบคำคุณศัพท์ ก็จะมากกว่า 3คน 3 สิ่ง 3 ตัว 3 ที่ 3 อะไรก็ได้ค่ะ ขอให้มากกว่าสามขึ้นไป แต่ถ้าเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์ ก็จะเป็นการกระทำที่มีคนมากกว่า 3 คนในการกระทำนั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะมีเพียง "หนึ่งเดียว ที่เป็นที่สุด" ถึงจะเรียกว่า "ขั้นสุด" ได้ใช่มั๊ยคะ เพราะฉะนั้น ตามหลักจริงๆแล้ว ประโยคขั้นสุด จะมี"คำนามขึ้นต้นประโยคเพียงแค่ตัวเดียว"เพื่อบ่งบอก "ความเป็นที่สุด"
ตัวสังเกตของ ขั้นนี้ จะมี
-adj. หรือ adv. ที่สามารถเติมest ได้เลย
- most ตามด้วย adj หรือ adv. โดยที่ไม่มี est ต่อท้าย ให้จำไว้เสมอว่า ถ้ามี most อยู่หน้า adj หรือ adv. ตัวไหน ก็ห้ามใส่ -est เด็ดขาด
- the ขั้นสุดต้องมี the กำกับอยู่หน้า adj.+ est เสมอ หรือในกรณีที่คำไหนใส่ est ไม่ได้ ต้องเอา most ไว้ข้างหน้า ก็ให้เอา the วางไว้หน้า most ในกรณีที่เป็นการเปรียบเทียบขั้นสุดของ adjective
แต่ถ้าเป็นการเปรียบเทียบขั้นสุด ของ adverb ไม่ต้องใส่ the นำหน้า adv. + -est หรือ หน้า most + adv.
- ขั้นสุดจะชอบมีวลีพวกนี้ต่อท้ายอยู่ค่ะ in the world, in the class, in the room คือมันจะที่สุดในโลก ในชั้นเรียน ในห้องเรียน หรือในอะไรก็ว่าไปค่ะ กับพวกนี้ I've ever known, I've seen เท่าที่ฉันเลยรู้มา เท่าที่ฉันเคยเห็นมา
สรุปสั้้นๆ คือ การใช้ the ในขั้นสุดใช้ได้กับการเปรียบเทียบคำคุณศัพท์ แต่ถ้าเป็นการเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์ไม่ต้องใช้ the นะจ๊ะ :)
มีเท่านี้แหละค่า ส่วนพวกกฏการทำคำคุณศัพท์ให้เป็นขั้นกว่ากับขั้นสุดมันไม่ยากนะจ๊ะ ขอไม่สรุปลงในนี้แล้วกันนะค้า แต่มีอะไรที่อยากจะบอกซักนิดนึงว่า เรื่องการเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์เนี่ย ก่อนที่จะทำได้ เราต้องรู้หลักการเปลี่ยนคำคุณศัพท์เป็นคำกริยาวิเศษณ์ก่อนนะคะ แต่จะมีอยู่ 3 คำ ที่สามารถเป็นได้ทั้งคำคุณศัพท์และคำกริยาวิเศษณ์ได้เลยคือ hard, fast, long, high คำอื่นๆ ก็ต้องไปทวนเนื้อหากันเองนะค้า
Friday, January 20, 2012
Present and Past Participle
Participle คือ กริยาไม่แท้ชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของกริยาวลี (verb phrase) ก็ได้ หรือบางทีก็ทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์ (adjective) เพื่อขยายคำนาม
ถ้าเกิดคำถามขึ้นในใจว่าแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเมื่อไหร่ที่เค้าจะทำหน้าที่เป็นกริยาวลี หรือเมื่อไหร่ที่จะทำหน้าที่เป็น คำคุณศัพท์ คำตอบของคำถามนี้ "ตำแหน่งที่เค้าอยู่" ไงล่ะคะ
ก่อนที่จะไปทำความรู้จักกันแบบลึกซึ้งกว่านี้ มาดูกันก่อนดีกว่าค่ะว่า คุณพาร์ (Participle)เนี่ย เค้ามีลูกกี่คน มีจำนวนแบบพอเหมาะค่ะ ไม่มากไม่น้อย 2 คนกำลังดี คนที่หนึ่งชื่อว่า น้องเพรส พาร์ (Present Participle) คนที่สองชื่อ น้องพาสท์ พาร์ (Past Participle) มารู้จักน้องสองคนนี้กันดีกว่าจ้าาา
น้องเพรส พาร์ เนี่ย เป็นกริยาที่ต้องสวม ing เสมอค่ะ ชอบไปอยู่กับน้องคอนท์ (Continuous) เวลาวิ่งเล่น ก็จะวิ่งไล่ตามติดอยู่ข้างหลังคุณๆ ทั้ง 7 ตัวคือ is, am, are, was, were, been, be ก็ได้เลยชื่อว่า "เป็นส่วนหนึ่งของกริยาวลีในตระกูลของ Continuous" แต่ก็นั่นแหละค่ะ เด็กก็คือเด็กบางครั้งบางโอกาสก็อยากจะผันตัวเองเป็นอย่างอื่นบ้าง เลยมีชื่ออีกชื่อนึง ก็คือ "แอ๊ดเจ็ค" (adjective) พอเปลี่ยนมาเป็นชื่อนี้แล้ว ชอบเล่นกับ "น้องนาว" (noun) แล้วเวลาเล่นก็ต้อง"อยู่หน้า" น้องนาวเสมอๆค่ะ
ต่อไปก็มาถึงตาของ น้องพาสท์ พาร์แล้วนะคะ น้องพาสท์ พาร์ เป็นกริยาที่ต้องสวม ed หรือบางกรณีก็ต้องไปทำศัลยกรรม ผันตัวเองเพื่อให้ตัวเองไปอยู่ในกริยาช่องที่ 3 ถ้าพูดง่ายๆก็คือ ถ้ามีใครพูดถึง Past Participle ให้ทราบโดยอัตโนมัติเลยว่า เค้าคนนั้นกำลังนินทาน้อง กริยาช่องที่ 3 (V.3) น้องพาสท์ พาร์ ชอบไปอยู่กับ น้องเพอ (Perfect) น้องเพอ คอนท์ (Perfect Cont) กับ น้องพาสสีพ (Passive) เวลาวิ่งเล่นนี่ต้องวิ่งตามติดข้างหลังคุณคนอื่นๆ แบบเยอะมากๆ เลยค่ะ คือ have, has, had, is, am, are, was, were, been, be, being ก็ได้เลยชื่อว่า "เป็นส่วนหนึ่งของกริยาวลีในตระกูลของ Perfect, Perfect Cont และ Passive" เวลาเบื่อแล้วก็อยากจะผันตัวเองเหมือนน้องเพรส พาร์ค่ะ คือ มีอีกชื่อนึงว่า "แอ๊ดเจ็ค" (adjective)แล้วก็ชอบเล่นกับ "น้องนาว" (noun) เหมือนกัน แล้วเวลาเล่นก็อยู่หน้าน้องนาวทุกครั้งค่ะ
สรุปสั้นๆคือ ถ้าเป็นส่วนหนึ่งของกริยาวลี ตำแหน่งจะอยู่หลัง V.ช่วยที่ได้กล่าวไปทั้งหมดค่ะ
แต่ ถ้าเป็นคำคุณศัพท์ ตำแหน่งจะอยู่หน้าคำนามค่ะ
ตอนนี้ก็มาถึงความหมายของน้องแต่ละตัวเวลาทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์นะคะ
สำหรับน้องเพรส พาร์ (V.ing) จะหมายถึงว่า "คำนามที่ถูกขยายกำลังกระทำกริยานั้นอยู่"
แต่ถ้าเป็นน้องพาสท์ พาร์ (V.3) จะหมายถึงว่า "คำนามที่ถูกขยายถูกกระทำ"
สุดท้าย ท้ายสุดคือ การกระทำของคำนามที่น้องแต่ละตัวไปขยายแยกได้ ตามนี้เลยค่ะ
น้องเพรส พาร์ จะหมายถึงว่า "การกระทำของคำนามนั้น เกิดขึ้นอยู่ คือ กระทำอยู่ ณ ตอนนั้น"
น้องพาสท์ พาร์ จะหมายถึงว่า "การกระทำของคำนามนั้นได้กระทำจบไปแล้ว"
เป็นไงกันมั่งค๊าบบบบ แบบสรุปจริงๆ เลยนะเนี่ย ไม่เข้าใจตรงไหน หรืออยากจะติ หรืออยากจะให้แก้ไขตรงไหนเพิ่มเติม บอกได้นะค๊าบบบบ :)
ถ้าเกิดคำถามขึ้นในใจว่าแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเมื่อไหร่ที่เค้าจะทำหน้าที่เป็นกริยาวลี หรือเมื่อไหร่ที่จะทำหน้าที่เป็น คำคุณศัพท์ คำตอบของคำถามนี้ "ตำแหน่งที่เค้าอยู่" ไงล่ะคะ
ก่อนที่จะไปทำความรู้จักกันแบบลึกซึ้งกว่านี้ มาดูกันก่อนดีกว่าค่ะว่า คุณพาร์ (Participle)เนี่ย เค้ามีลูกกี่คน มีจำนวนแบบพอเหมาะค่ะ ไม่มากไม่น้อย 2 คนกำลังดี คนที่หนึ่งชื่อว่า น้องเพรส พาร์ (Present Participle) คนที่สองชื่อ น้องพาสท์ พาร์ (Past Participle) มารู้จักน้องสองคนนี้กันดีกว่าจ้าาา
น้องเพรส พาร์ เนี่ย เป็นกริยาที่ต้องสวม ing เสมอค่ะ ชอบไปอยู่กับน้องคอนท์ (Continuous) เวลาวิ่งเล่น ก็จะวิ่งไล่ตามติดอยู่ข้างหลังคุณๆ ทั้ง 7 ตัวคือ is, am, are, was, were, been, be ก็ได้เลยชื่อว่า "เป็นส่วนหนึ่งของกริยาวลีในตระกูลของ Continuous" แต่ก็นั่นแหละค่ะ เด็กก็คือเด็กบางครั้งบางโอกาสก็อยากจะผันตัวเองเป็นอย่างอื่นบ้าง เลยมีชื่ออีกชื่อนึง ก็คือ "แอ๊ดเจ็ค" (adjective) พอเปลี่ยนมาเป็นชื่อนี้แล้ว ชอบเล่นกับ "น้องนาว" (noun) แล้วเวลาเล่นก็ต้อง"อยู่หน้า" น้องนาวเสมอๆค่ะ
ต่อไปก็มาถึงตาของ น้องพาสท์ พาร์แล้วนะคะ น้องพาสท์ พาร์ เป็นกริยาที่ต้องสวม ed หรือบางกรณีก็ต้องไปทำศัลยกรรม ผันตัวเองเพื่อให้ตัวเองไปอยู่ในกริยาช่องที่ 3 ถ้าพูดง่ายๆก็คือ ถ้ามีใครพูดถึง Past Participle ให้ทราบโดยอัตโนมัติเลยว่า เค้าคนนั้นกำลังนินทาน้อง กริยาช่องที่ 3 (V.3) น้องพาสท์ พาร์ ชอบไปอยู่กับ น้องเพอ (Perfect) น้องเพอ คอนท์ (Perfect Cont) กับ น้องพาสสีพ (Passive) เวลาวิ่งเล่นนี่ต้องวิ่งตามติดข้างหลังคุณคนอื่นๆ แบบเยอะมากๆ เลยค่ะ คือ have, has, had, is, am, are, was, were, been, be, being ก็ได้เลยชื่อว่า "เป็นส่วนหนึ่งของกริยาวลีในตระกูลของ Perfect, Perfect Cont และ Passive" เวลาเบื่อแล้วก็อยากจะผันตัวเองเหมือนน้องเพรส พาร์ค่ะ คือ มีอีกชื่อนึงว่า "แอ๊ดเจ็ค" (adjective)แล้วก็ชอบเล่นกับ "น้องนาว" (noun) เหมือนกัน แล้วเวลาเล่นก็อยู่หน้าน้องนาวทุกครั้งค่ะ
สรุปสั้นๆคือ ถ้าเป็นส่วนหนึ่งของกริยาวลี ตำแหน่งจะอยู่หลัง V.ช่วยที่ได้กล่าวไปทั้งหมดค่ะ
แต่ ถ้าเป็นคำคุณศัพท์ ตำแหน่งจะอยู่หน้าคำนามค่ะ
ตอนนี้ก็มาถึงความหมายของน้องแต่ละตัวเวลาทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์นะคะ
สำหรับน้องเพรส พาร์ (V.ing) จะหมายถึงว่า "คำนามที่ถูกขยายกำลังกระทำกริยานั้นอยู่"
แต่ถ้าเป็นน้องพาสท์ พาร์ (V.3) จะหมายถึงว่า "คำนามที่ถูกขยายถูกกระทำ"
สุดท้าย ท้ายสุดคือ การกระทำของคำนามที่น้องแต่ละตัวไปขยายแยกได้ ตามนี้เลยค่ะ
น้องเพรส พาร์ จะหมายถึงว่า "การกระทำของคำนามนั้น เกิดขึ้นอยู่ คือ กระทำอยู่ ณ ตอนนั้น"
น้องพาสท์ พาร์ จะหมายถึงว่า "การกระทำของคำนามนั้นได้กระทำจบไปแล้ว"
เป็นไงกันมั่งค๊าบบบบ แบบสรุปจริงๆ เลยนะเนี่ย ไม่เข้าใจตรงไหน หรืออยากจะติ หรืออยากจะให้แก้ไขตรงไหนเพิ่มเติม บอกได้นะค๊าบบบบ :)
Relative Clauses
เป็นหลักการใช้ตัวเชื่อมในเรื่อง Relative Clauses นะคะ แบบย่อสุดๆ เลยค่ะ
แต่ก่อนจะเข้าสู่การสรุปแบบย๊อย่อ คือต้องบอกไว้ก่อนเลยค่า ถ้าพูดถึง Relative Clauses ก็สามารถคิดถึง Adjective Clauses ได้เลย เพราะเค้าสองคนนี้ เป็นฝาแฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกัน เหมือนกันทุกอย่าง คร่าวๆ เลยนะคะ
เราสามารถแบ่งกลุ่มตัวเชื่อมได้ตามนี้ค่ะ ซึ่งตัวเชื่อมเนี่ย จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ Relative Pronouns(who, whom, whose, of which, which, that) แล้วก็ Relative Adverbs (when, in which, on which, where, at which)
จัดตามหมวดหมู่ได้ตามนี้เลยค่ะ
1. ใช้กับคน (people) คือ who กับ whom โดยจะต่างกันตรงที่
who ใช้กับประธาน (subject)
whom ใช้กับกรรม (object)
2. ใชักับสิ่งของและสัตว์ (things and animals) คือ which
3. ใช้กับการแสดงความเป็นเจ้าของ (showing possession) คือ whose กับ of which โดยต่างกันตรงที่
whose ใช้กับเจ้าของที่เป็นคน
of which ใช้กับเจ้าของที่เป็นสิ่งของและสัตว์
4. ใช้กับเวลา when, in which (ปีหรือเดือน), on which (วันทั้ง 7 ) โดย
when จะเป็นตัวหลักใหญ่ คือไม่ว่าจะเป็นวัน เดือนหรือปี ใช้ได้หมด
แต่ถ้าเป็น in which จะใช้ได้กับปีหรือเดือนเท่านั้น เช่น in 2011 หรือ in May
ส่วน on which ก็จะใช้ได้กับวัน(ทั้ง 7 ) เท่านั้น เช่น on Wednesday
หมายเหตุ เราสามารถละ when, in which, on which ได้ และไม่ต้องมีคำบุพบท (Preposition) ห้อยท้ายกริยาของประโยคย่อย
5. ใช้กับสถานที่ where, in which, at which, which โดย
where เป็นตัวหลักคือถ้าเป็นสถานที่มาและมีการกระทำกริยา ณ ที่นั้น ใช้ where ได้หมด
in which กับ at which ให้ตรวจดูข้อมูลการใช้ in กับ at ในการบอกสถานที่เอง (แต่ประเด็นสำคัญ
ไม่ได้อยู่ตรงนี้ เดี๋ยวจะบอกต่อจากนี้อีกอึดใจเดียวค่ะ)
which สามารถใช้ในการบอกสถานที่ได้ แต่ถ้าใช้which ประโยคที่เอามารวมกันจะต่างกันตรงนี้ค่ะ
ถ้าเมื่อไหร่ที่ใช้ where, in which, at which เชื่อม ต้องไม่มีคำบุพบทห้อยท้ายกริยาในประโยคย่อย
แต่ถ้าเมื่อไหร่ใช้ which เชื่อม คำบุพบทต้องห้อยอยู่ที่เดิม ห้ามตัดออก
หมายเหตุ เราสามารถละ where, in which, at which ได้ โดยที่ต้องมีคำบุพบท (Preposition) ห้อยท้ายกริยาของประโยคย่อย
เนื้อหาเพิ่มเติม
1.that สามารถใช้แทนตัวเชื่อมเหล่านี้ได้ who, whom, which
2. เราสามารถละ who, whom, which, that ได้ในกรณีที่ตัวเชื่อมเหล่านี้ไปเชื่อมคำนามที่ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยคย่อย
แต่ก่อนจะเข้าสู่การสรุปแบบย๊อย่อ คือต้องบอกไว้ก่อนเลยค่า ถ้าพูดถึง Relative Clauses ก็สามารถคิดถึง Adjective Clauses ได้เลย เพราะเค้าสองคนนี้ เป็นฝาแฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกัน เหมือนกันทุกอย่าง คร่าวๆ เลยนะคะ
เราสามารถแบ่งกลุ่มตัวเชื่อมได้ตามนี้ค่ะ ซึ่งตัวเชื่อมเนี่ย จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ Relative Pronouns(who, whom, whose, of which, which, that) แล้วก็ Relative Adverbs (when, in which, on which, where, at which)
จัดตามหมวดหมู่ได้ตามนี้เลยค่ะ
1. ใช้กับคน (people) คือ who กับ whom โดยจะต่างกันตรงที่
who ใช้กับประธาน (subject)
whom ใช้กับกรรม (object)
2. ใชักับสิ่งของและสัตว์ (things and animals) คือ which
3. ใช้กับการแสดงความเป็นเจ้าของ (showing possession) คือ whose กับ of which โดยต่างกันตรงที่
whose ใช้กับเจ้าของที่เป็นคน
of which ใช้กับเจ้าของที่เป็นสิ่งของและสัตว์
4. ใช้กับเวลา when, in which (ปีหรือเดือน), on which (วันทั้ง 7 ) โดย
when จะเป็นตัวหลักใหญ่ คือไม่ว่าจะเป็นวัน เดือนหรือปี ใช้ได้หมด
แต่ถ้าเป็น in which จะใช้ได้กับปีหรือเดือนเท่านั้น เช่น in 2011 หรือ in May
ส่วน on which ก็จะใช้ได้กับวัน(ทั้ง 7 ) เท่านั้น เช่น on Wednesday
หมายเหตุ เราสามารถละ when, in which, on which ได้ และไม่ต้องมีคำบุพบท (Preposition) ห้อยท้ายกริยาของประโยคย่อย
5. ใช้กับสถานที่ where, in which, at which, which โดย
where เป็นตัวหลักคือถ้าเป็นสถานที่มาและมีการกระทำกริยา ณ ที่นั้น ใช้ where ได้หมด
in which กับ at which ให้ตรวจดูข้อมูลการใช้ in กับ at ในการบอกสถานที่เอง (แต่ประเด็นสำคัญ
ไม่ได้อยู่ตรงนี้ เดี๋ยวจะบอกต่อจากนี้อีกอึดใจเดียวค่ะ)
which สามารถใช้ในการบอกสถานที่ได้ แต่ถ้าใช้which ประโยคที่เอามารวมกันจะต่างกันตรงนี้ค่ะ
ถ้าเมื่อไหร่ที่ใช้ where, in which, at which เชื่อม ต้องไม่มีคำบุพบทห้อยท้ายกริยาในประโยคย่อย
แต่ถ้าเมื่อไหร่ใช้ which เชื่อม คำบุพบทต้องห้อยอยู่ที่เดิม ห้ามตัดออก
หมายเหตุ เราสามารถละ where, in which, at which ได้ โดยที่ต้องมีคำบุพบท (Preposition) ห้อยท้ายกริยาของประโยคย่อย
เนื้อหาเพิ่มเติม
1.that สามารถใช้แทนตัวเชื่อมเหล่านี้ได้ who, whom, which
2. เราสามารถละ who, whom, which, that ได้ในกรณีที่ตัวเชื่อมเหล่านี้ไปเชื่อมคำนามที่ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยคย่อย
Saturday, January 7, 2012
พจน์ของประธานต้องสัมพันธ์กับพจน์ของกริยา
อ่านหัวข้อแล้ว อาจจะมีบางคนนึกถึง Subject-Verb Agreement กันใช่มั๊ยคะ?
แต่ ณ ที่นี้ บิ้วขอเน้นเรื่องง่ายๆ (ที่หลายๆคนอาจจะลืมไปแล้ว) ก็คือการใช้ประธานกับกริยาช่วยในบล็อกอันที่แล้ว
ก่อนที่จะเข้าเนื้อหา ขอพูดถึงคำว่า "พจน์" นิดนึงนะคะ ณ ที่นี้ บิ้วหมายถึง "เอกพจน์" (Singular)และ "พหูพจน์" (Plural) ซึ่งถ้าเป็นคำนามที่มีความเป็นเอกพจน์ ก็จะมีคำนามนับได้ที่มีเพียงหนึ่ง และคำนามนับไม่ได้(คำนามนับไม่ได้มีพจน์เป็นเอกพจน์) และถ้าคำนามเป็นพหูพจน์ ส่วนใหญ่ก็จะเติม -s หรือ -es แต่ก็มีคำนามที่เป็นข้อยกเว้น ที่เป็นพหูพจน์โดยที่ไม่ต้องมี -s หรือ -es ก็ได้
ทีนี้มาดูกันค่ะ ว่า คำนามที่เป็นเอกพจน์กับคำนามนับไม่ได้ คำนามพหูพจน์ และบุรุษสรรพนามตัวไหนจะสามารถใช้กับกริยาช่วย(สามกลุ่มหลัก) ตัวไหนได้บ้าง
V. to do - do -> I, You, We, They, คำนามพหูพจน์
does -> He, She, It, คำนามเอกพจน์, คำนามนับไม่ได้
did -> ประธานทุกตัว
V. to be - is -> He, She, It, คำนามเอกพจน์, คำนามนับไม่ได้
am -> I
are -> You, We, They, คำนามพหูพจน์
was -> I, He, She, It, คำนามเอกพจน์, คำนามนับไม่ได้
were -> You, We, They, คำนามพหูพจน์
V. to have have -> I, You, We, They, คำนามพหูพจน์
has -> He, She, It, คำนามเอกพจน์, คำนามนับไม่ได้
had -> did -> ประธานทุกตัว
ทีนี้บิ้วจะสรุปรวมให้ดูนะคะ
He, She, It, คำนามเอกพจน์, คำนามนับไม่ได้ ใช้กับ is, has
I, He, She, It, คำนามเอกพจน์, คำนามนับไม่ได้ ใช้กับ was
You, We, They, คำนามพหูพจน์ ใช้กับ are, were
I, You, We, They, คำนามพหูพจน์ ใช้กับ do, have
I ใช้กับ am
ประธานทุกตัว ใช้ได้กับ did, had
ถึงมันจะดูง่าย แต่เชื่อมั๊ยคะ ว่ามีหลายๆ คน ที่ลืมไปแล้ว :)
คงต้องจบบล็อกนี้เท่านี้ก่อนนะค้า ขอให้ทุกๆคนมีความสุขกับชีวิตค่า
แต่ ณ ที่นี้ บิ้วขอเน้นเรื่องง่ายๆ (ที่หลายๆคนอาจจะลืมไปแล้ว) ก็คือการใช้ประธานกับกริยาช่วยในบล็อกอันที่แล้ว
ก่อนที่จะเข้าเนื้อหา ขอพูดถึงคำว่า "พจน์" นิดนึงนะคะ ณ ที่นี้ บิ้วหมายถึง "เอกพจน์" (Singular)และ "พหูพจน์" (Plural) ซึ่งถ้าเป็นคำนามที่มีความเป็นเอกพจน์ ก็จะมีคำนามนับได้ที่มีเพียงหนึ่ง และคำนามนับไม่ได้(คำนามนับไม่ได้มีพจน์เป็นเอกพจน์) และถ้าคำนามเป็นพหูพจน์ ส่วนใหญ่ก็จะเติม -s หรือ -es แต่ก็มีคำนามที่เป็นข้อยกเว้น ที่เป็นพหูพจน์โดยที่ไม่ต้องมี -s หรือ -es ก็ได้
ทีนี้มาดูกันค่ะ ว่า คำนามที่เป็นเอกพจน์กับคำนามนับไม่ได้ คำนามพหูพจน์ และบุรุษสรรพนามตัวไหนจะสามารถใช้กับกริยาช่วย(สามกลุ่มหลัก) ตัวไหนได้บ้าง
V. to do - do -> I, You, We, They, คำนามพหูพจน์
does -> He, She, It, คำนามเอกพจน์, คำนามนับไม่ได้
did -> ประธานทุกตัว
V. to be - is -> He, She, It, คำนามเอกพจน์, คำนามนับไม่ได้
am -> I
are -> You, We, They, คำนามพหูพจน์
was -> I, He, She, It, คำนามเอกพจน์, คำนามนับไม่ได้
were -> You, We, They, คำนามพหูพจน์
V. to have have -> I, You, We, They, คำนามพหูพจน์
has -> He, She, It, คำนามเอกพจน์, คำนามนับไม่ได้
had -> did -> ประธานทุกตัว
ทีนี้บิ้วจะสรุปรวมให้ดูนะคะ
He, She, It, คำนามเอกพจน์, คำนามนับไม่ได้ ใช้กับ is, has
I, He, She, It, คำนามเอกพจน์, คำนามนับไม่ได้ ใช้กับ was
You, We, They, คำนามพหูพจน์ ใช้กับ are, were
I, You, We, They, คำนามพหูพจน์ ใช้กับ do, have
I ใช้กับ am
ประธานทุกตัว ใช้ได้กับ did, had
ถึงมันจะดูง่าย แต่เชื่อมั๊ยคะ ว่ามีหลายๆ คน ที่ลืมไปแล้ว :)
คงต้องจบบล็อกนี้เท่านี้ก่อนนะค้า ขอให้ทุกๆคนมีความสุขกับชีวิตค่า
Wednesday, January 4, 2012
กริยาช่วย มีอะไรบ้างน้อ?
คราวนี้ก็จะได้กล่าวถึง กริยาช่วยในโลกของภาษาอังกฤษ หลักๆเลยมี สามกลุ่มค่ะ
กลุ่มแรกคือ v. to do (do, does, did) ใช้ในตระกูล Simple ซึ่งจะแยกเป็น Present Simple (do, does) แล้วก็ Past Simple (did)
กลุ่มสองคือ v. to be (is, am, are, was, were) ใช้ในตระกูลของ Continuous ซึ่่งจะแยกเป็น Present Continuous (is, am, are) แล้วก็ Past Continuous (was, were)
กลุ่มที่สามคือ v. to have (have, has, had) ใช้ในตระกูลของ Perfect (ทั้ง Perfect และ Perfect Cont.) ซึ่งจะแยกเป็น Present Perfect กับ Present Perfect Cont. (have, has) แล้วก็ Past Perfect กับ Past Perfect Cont. (had)
ส่วนกริยาช่วยอีกกลุ่มหนึ่ง กลุ่มนี้จะมีชื่่อเรียกของเค้าเลยว่า "Modal Verb" ถ้าจะให้บิ้วคิดว่า แล้วกริยากลุ่มนีมาช่วยทำอะไรล่ะ ทำไมถึงต้องแยกออกมาจากสามตัวข้างบน คิดไปคิดมา ก็ได้คำตอบของตัวเองว่า มาช่วยเพื่อเพิ่มความหมายของประโยค เพื่อบ่งบอกถึง ความสามารถ ความเป็นไปได้ การแนะนำ การบังคับ สิ่งที่จะทำในอนาคต เช่น แทนที่เราจะบอกว่า I swim. ฉันว่ายน้ำ เราก็ไปเพิ่มความหมายให้ดูดีนิดนึงว่า I can swim ฉันสามารถว่ายน้ำได้
ซึ่ง กริยากลุ่มนี้ เราจะแยกเป็นกลุ่มๆของมันเองได้ตามนี้นะคะ
can could สามารถ
may might อาจจะ
must have to (has to, had to) ต้อง
will would shall จะ
should had better ought to ควรจะ
เนี่ยแหละค่า หมดแล้วจ่ะ กริยาช่วยในภาษาอังกฤษ หุหุ
:)
กลุ่มแรกคือ v. to do (do, does, did) ใช้ในตระกูล Simple ซึ่งจะแยกเป็น Present Simple (do, does) แล้วก็ Past Simple (did)
กลุ่มสองคือ v. to be (is, am, are, was, were) ใช้ในตระกูลของ Continuous ซึ่่งจะแยกเป็น Present Continuous (is, am, are) แล้วก็ Past Continuous (was, were)
กลุ่มที่สามคือ v. to have (have, has, had) ใช้ในตระกูลของ Perfect (ทั้ง Perfect และ Perfect Cont.) ซึ่งจะแยกเป็น Present Perfect กับ Present Perfect Cont. (have, has) แล้วก็ Past Perfect กับ Past Perfect Cont. (had)
ส่วนกริยาช่วยอีกกลุ่มหนึ่ง กลุ่มนี้จะมีชื่่อเรียกของเค้าเลยว่า "Modal Verb" ถ้าจะให้บิ้วคิดว่า แล้วกริยากลุ่มนีมาช่วยทำอะไรล่ะ ทำไมถึงต้องแยกออกมาจากสามตัวข้างบน คิดไปคิดมา ก็ได้คำตอบของตัวเองว่า มาช่วยเพื่อเพิ่มความหมายของประโยค เพื่อบ่งบอกถึง ความสามารถ ความเป็นไปได้ การแนะนำ การบังคับ สิ่งที่จะทำในอนาคต เช่น แทนที่เราจะบอกว่า I swim. ฉันว่ายน้ำ เราก็ไปเพิ่มความหมายให้ดูดีนิดนึงว่า I can swim ฉันสามารถว่ายน้ำได้
ซึ่ง กริยากลุ่มนี้ เราจะแยกเป็นกลุ่มๆของมันเองได้ตามนี้นะคะ
can could สามารถ
may might อาจจะ
must have to (has to, had to) ต้อง
will would shall จะ
should had better ought to ควรจะ
เนี่ยแหละค่า หมดแล้วจ่ะ กริยาช่วยในภาษาอังกฤษ หุหุ
:)
Subscribe to:
Posts (Atom)