Sunday, June 24, 2012

วิธีการสังเกตชนิดของคำที่ต้องเติมในช่องว่างในการทำแบบฝึกหัดวัดคำศัพท์ (1)

โหว... ห่างหายมานาน... ไม่รู้ว่ามีคนติดตามอ่านรึเปล่าน้อ... ไม่เพ้อดีกว่านะคะ เริ่มกันเลยดีกว่า

ถ้าใครอ่านชื่อเรื่องบล็อกนี้แล้วงงว่า ทำไมต้องมี วงเล็บแล้วมีเลขหนึ่งอยู่ด้วย คำตอบคือ คิดว่าเขียนบล็อกเดียว ทีเดียวอาจจะยาวไปค่ะ กว่าจะอ่านเสร็จ คงเหนื่อยกันเลยทีเดียว ก็เลยเแยกบล็อกให้ค่ะ

สำหรับเรื่องที่กำลังจะได้อ่านกันต่อไปนี้ เป็นการรวบรวมจากประสบการณ์ในการเห็นข้อสอบและการทำข้อสอบ รวมถึงเวลาที่เตรียมการสอนและพยายามหาวิธีที่จะสามารถเป็นทางลัด (ได้อีกทางหนึ่ง) ซึ่งจริงๆแล้ว จากใจค่ะ ส่วนตัวไม่ค่อยชอบวิธีนี้เท่าไหร่ เพราะมันเหมือนไม่ได้วัดความรู้ทางคำศัพท์จริงๆ เพราะถ้าพูดถึงคำศัพท์ แสดงว่าต้องรู้ความหมายถึงจะสามารถนำคำไปเติมได้ถูกต้องใช่มั๊ยคะ แต่วิธีการที่เสนอนี้ เหมือนเป็นการลักไก่น่ะค่ะ ในกรณีที่เป็นแบบฝึกหัดหรือข้อสอบแบบมีตัวเลือกให้

ซึ่งหลักๆแล้วเป็นการสังเกตอยู่สองอย่างคือ ชนิดของคำ และ ตำแหน่งที่คำนั้นอยู่ค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอาศัยการทำแบบฝึกหัดหรือไปหาข้อสอบมานั่งทำบ่อยๆ ค่ะ ... เริ่มกันเลยนะคะ

จะขอเริ่มจาก "คำนาม" (noun) ซึ่งตำแหน่งของ น้องนาว ของเรานี้ มีข้อสังเกตค่อนข้างเยอะค่ะ

ตำแหน่งที่หนึ่งคือ อยู่หน้าประโยคหรือขึ้นต้นประโยคหรืออยู่หน้ากริยาค่ะ  เพราะหน้าที่ของคำนามสามารถเป็นประธาน (Subject)ของประโยคได้ค่ะ

ตำแหน่งที่สอง คือ อยู่หลังกริยา ทำหน้าที่เป็นกรรม (Object)ของประโยคค่ะ

ตำแหน่งที่สามคือ อยู่หลัง คำนำหน้านาม (Article) a, an, the

ตำแหน่งที่สี่คือ อยู่หลังคำคุณศัพท์ (Adjective)


ตำแหน่งที่ห้าคือ อยู่หลังคำบอกจำนวนที่ไม่เฉพาะเจาะจงหรือที่เรียกว่า Indefinite Adjective เช่น some, any, many, much, few, a few, little, a little เป็นต้น


ตำแหน่งที่หกคือ อยู่หลังคำบุพบท (Preposition) 


เนี่ยแหละค่ะ ที่พอสรุปได้จากประสบการณ์คือประมาณนี้ และตามความคิดคือ วิธีนี้น่าจะใช้ได้ผลกับเด็กที่อ่านออกและรู้คำศัพท์และรู้ชนิดของคำศัพท์นั้นบ้าง  คือยังไงหลักๆก็ต้องอ่านออกค่ะ เพราะถ้าอ่านไม่ออก เราจะไม่มีทางรู้เลยว่า เรากำลังเรียนรู้หรือศึกษาเรื่องอะไรอยู่  ในส่วนที่ลงท้ายด้วยคำว่าบ้าง เพราะถ้าเป็นเด็กที่ทั้งอ่านออกและรู้คำศัพท์เยอะๆ ส่วนใหญ่ก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ ไม่ต้องใช้ข้อสังเกตนี้ก้ได้ แปลแล้วเลือกคำลงอย่างเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องอาศัยความตั้งใจและความสม่ำเสมอในเรื่องของการพัฒนาตัวเองอยู่แล้วค่ะ ยิ่งเราทำบ่อย ทำเยอะ ทำเป็นประจำ เราจะพัฒนาเร็วค่ะ ...

อีกอย่างหนึ่งก็คือ ถึงเด็กคนไหนที่มาอ่านบล็อกนี้แล้ว ท่องได้หมดว่า ตำแหน่งของคำนามสามารถจะอยู่ตรงไหนได้บ้าง แต่ไม่รู้จักว่าคำคำนี้คือคำคุณศัพท์ ไม่รู้จักว่า คำคำนี้ คือคำบุพบท ก็ไม่สามารถที่จะใช้หลักการสังเกตนี้ได้เหมือนกันค่ะ เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าใครรู้ตัวเองว่า พื้นฐานความรู้ภาษาอังกฤษยังไม่อยู่ในระดับที่จะเรียนรู้เรื่องพวกนี้ ต้องขยันกันหน่อยแล้วค่ะ ... ไม่มีคำว่า"ทำไม่ได้" สำหรับคนที่ตั้งใจแล้วก็พยายามอย่างเต็มที่หรอกนะคะ ... อะไรก็เป็นไปได้ค่ะ ขอแค่ใจเราเชื่อและลงมือทำจริงๆ ... เป็นกำลังใจให้ค่ะ


Sunday, June 10, 2012

‎The Difference between House and Home (ความแตกต่างระหว่างคำว่า house กับ home)

สองคำนี้แปลความหมายได้เหมือนกันคือบ้าน แต่house เน้น บ้านที่เป็นสิ่งปลูกสร้าง ส่วน home นั้น เน้นความรัก ความอบอุ่นที่คนในครอบครัวมีให้กัน เลยทำให้เกิด "บ้าน" ที่มีความหมายลึกซึ้ง กว่าบ้านที่สร้างไว้เฉยๆค่ะ ... เอาง่ายๆ คำที่แปลว่าคิดถึงบ้าน ภาษาอังกฤษ "homesick" โดยตัวของ sick เอง แปลว่า เจ็บป่วย พอมารวมกับบ้าน เด็กๆคงคิดว่า เอ๊ะ!!! บ้านมันป่วยได้ด้วยหลอ ... ซึ่งจริงแล้ว เราก็รู้กันอยู่แล้วว่า บ้านไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ไม่สามารถกระทำกริยาได้ เพราะฉะนั้นบ้านมันป่วยไม่ได้หรอกค่ะ แต่เป็นคำประสมที่เอามารวมกัน แล้วหมายถึง "โรคคิดถึงบ้าน" นั่นเองค่ะ ... :)