มาเริ่มกันที่เรื่องคำนามกันก่อนนะคะ สำหรับเรื่องคำนามนี้ จริงๆแล้วค่อนข้างกว้าง แต่หลักๆที่ต้องรู้คือ คำนามที่เป็นเอกพจน์ ถ้าจะทำให้เป็นพหูพจน์มีกฏอย่างไรบ้าง หรือคำนามตัวไหนที่เป็นคำนามนับได้ หรือเป็นคำนามนับไม่ได้บ้าง เนื่องจากคำนามที่นับไม่ได้นั้นไม่สามารถทำให้เป็น พหูพจน์ ได้ นั่นหมายถึงว่า ห้ามมีการเติม -s หรือ -es ใดๆทั้งสิ้น (ในกรณีถ้ามีตัวเลือกลวงเรา โดยเอาคำนามนับไม่ได้มาเติม - s เราก็จะรู้ทันทีว่าตัวเลือกข้อนั้นผิด)
เรื่องคำนามนับได้ที่มีพจน์เป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ และคำนามนับไม่ได้ จะเชื่อมโยงกับเรื่องการสังเกตคำเหล่านี้ค่ะ เช่น There is, There are, many, much, some เป็นต้น
เช่นทั้ง There is, There are นั้นแปลว่า "มี" เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่
There is + นามนับได้เอกพจน์ และ คำนามนับไม่ได้
There are + นามนับได้พหูพจน์
many, much แปลว่า "มาก" เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่
many + นามนับได้พหูพจน์
much + นามนับไม่ได้
some แปลว่า "บาง,บ้าง" นามที่ตามหลัง some จะเป็น คำนามนับได้พหูพจน์ และ คำนามนับไม่ได้
เพราะฉะนั้น นอกจากจะมีความรู้เรื่องชนิดและพจน์ของคำนามแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องรู้ด้วยค่ะว่า
นามที่ตามหลังคำเหล่านั้นต้องเป็นคำนามประเภทไหน พจน์ไหน
ส่วนเรื่องคำสรรพนาม สังเกตตำแหน่ง และอาจจะต้องใช้ความสามารถในการแปลบ้าง (เท่าที่คิดนะคะ ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ)
Subject Pron. อยู่หน้ากริยา
Object Pron. อยู่หลังกริยา
Possessive Pron. ตำแหน่งจะอยู่หน้าหรือหลังกริยาก็ได้ค่ะ แต่สำหรับตัวนี้ ให้ดูในประโยคก่อนหน้า (ถ้ามี) ที่เกี่ยวกับการแสดงความเป็นเจ้าของอยู่ แต่ถ้าประโยคก่อนหน้าประโยคโจทย์ไม่มีคำใดๆที่บอกถึงการแสดงความเป็นเจ้าของเลย ต้องอาศัยการแปลความหมายได้ช่วยในการตัดสินใจที่จะตอบด้วยค่ะ
(นี่สรุปจากแบบฝึกหัดกับตัวอย่างในหนังสือมานะคะ)
Reflexive Pron. ตำแหน่งอยู่หลังกริยา หรือหลังคำว่า by ค่ะ (นี่สรุปจากแบบฝึกหัดกับตัวอย่างในหนังสือเหมือนกันค่ะ)
ก็ตามนี้เลยแล้วกันนะค้า สู้ๆค่า :)
สิ่งต่างๆ ที่จะได้นำเสนอนี้ เกิดขึ้นจากวิธีการคิดของผู้เขียนด้วยตนเอง มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้อ่านได้มีสูตรในการจำโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาแบบง่ายๆ หรือ วิธีการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในเนื้อหาด้านอื่นๆ ถ้าผู้อ่านท่านใดมีความประสงค์จะนำข้อมูลนี้ไปเผยแพร่ ผู้เขียนก็มีความยินดีและดีใจที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้ทุกๆคน ให้มีหลักการที่จะช่วยให้การเรียนรู้ภาษาอังกฤษง่ายขึ้น :) ขอบคุณทุกๆคนมากนะคะ ขอให้ชีวิตมีความสุขในทุกๆวันค่ะ
Thursday, July 19, 2012
Wednesday, July 18, 2012
หลักการทำแบบฝึกหัด/ข้อสอบส่วนคำศัพท์
การทำข้อสอบส่วนของคำศัพท์
ส่วนใหญ่ จะวัดในเรื่อง
1. ความหมายของคำศัพท์ที่เติมลงในประโยคแล้ว
ทำให้ประโยคมีความหมายมากที่สุด
ซึ่งโจทย์ต้องการวัดความรู้ในเรื่องความหมายคำศัพท์เพียงอย่างเดียว เช่น
__________
is essential for our body system.
ตรงช่องว่างที่เว้นว่างไว้ เป็นตำแหน่งของ
“ประธาน” (Subject)
ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ชนิดของคำที่ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยคคือ “คำนาม” (Noun) และในตัวเลือกจะมีแต่ตัวเลือกที่ทำหน้าที่เป็นคำนามเท่านั้น
a. Oxygen b. Acid c. Light d.
Fire
ตัวเลือกทั้ง 4 ข้อ ทำหน้าที่เป็นคำนามนับไม่ได้ทั้งหมด
ซึ่งต้องใช้กับกริยารูปเอกพจน์ ซึ่งในประโยคเป็นคำว่า “is” เป็นส่วนที่โจทย์กำหนดมาให้ถูกต้องอยู่แล้ว
สิ่งที่ต้องเข้าใจคือ ความหมายของประโยคโจทย์และตัวเลือกคืออะไร
จึงจะสามารถเลือกเติมคำได้ถูกต้อง ซึ่งคำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ a.
2. ความหมายของคำศัพท์ และ ชนิดของคำศัพท์ เช่น
Acid
is __________ for our body system.
ตรงช่องว่างที่เว้นว่างไว้ เป็นตำแหน่งของ
“คำคุณศัพท์” (Adjective) ข้อสังเกต คือ คำคุณศัพท์จะอยู่หลัง v.to be หรือบางครั้ง อยู่หลัง linking v. แต่ในกรณีนี้ ให้สังเกตที่ v. to be คือ is
หมายเหตุ คำอธิบายนี้
ไม่รวมถึงการใช้คำคุณศัพท์หรือการใช้V. to be ในกรณีอื่นๆ
ซึ่งอาจารย์ใช้การอธิบายในทำโจทย์ตัวอย่างเท่านั้น หมายถึงว่า
เด็กๆต้องไปศึกษาเรื่องการใช้และตำแหน่งของคำคุณศัพท์ และการใช้v. to be ในแต่ละtense และ voice เพิ่มเติม
a. useful b. dangerous c. bravely d.
usefully
จากตัวเลือกทั้ง 4 ข้อ จะเห็นได้ว่า ตัวเลือกข้อ c และ d ชนิดของคำคือ คำวิเศษณ์ (Adverb) เพราะฉะนั้น
จะสามารถตัดตัวเลือกสองข้อนี้ออกไปได้เลย ซึ่งตัวเลือกข้อ a และ b ทำหน้าที่เป็น คำคุณศัพท์ทั้งสองคำ
ซึ่งก่อนจะเติมคำลงไปในประโยคให้ถูกต้อง
จะต้องทราบก่อนว่าประโยคโจทย์และตัวเลือกที่เหลืออยู่ 2 ข้อ หมายถึงอะไร
ซึ่งคำตอบที่ถูกคือ ข้อ b.
3. ความหมายของคำศัพท์ ชนิดของคำศัพท์ และไวยากรณ์ เช่น
Junk
food can ___________ the people’s health.
ตรงช่องว่าง จะต้องเติม “V. infinitive” สังเกตได้จากคำว่า can ซึ่งเป็น Modal v. หรือ v. ช่วยอีกชนิดหนึ่ง ซึ่ง Modal v. ต้องตามด้วย V.infinitive
a. go b. serious c. damage d. damages
จากตัวเลือกทั้ง 4 ข้อ จะเห็นได้ว่า สามารถตัดข้อ b. และ d. ออกไปได้เลย เนื่องจากข้อ b.เป็นคำคุณศัพท์และ damage เติม s ไม่ใช่ v.infinitive แต่เป็นกริยาช่องที่ 1 ที่เติม s เนื่องจากประธานของประโยค (Junk food) เป็นคำนามนับไม่ได้
ซึ่งถ้าใครไม่ทราบกฎการใช้กริยาที่ตามหลัง modal v. (can) ก็อาจจะถูกลวงให้ตอบข้อd. ได้ ก็จะเหลือข้อ a. และ c. ซึ่งก็ต้องมาวัดกันในเรื่องของความหมาย
ซึ่งข้อที่ถูกต้องคือข้อ c.
สรุปคือ ในการทำข้อสอบคำศัพท์
การรู้คำศัพท์มากจะได้เปรียบในการทำข้อสอบ แต่ถ้ารู้คำศัพท์มากแต่ไม่รู้ชนิดของคำ
ในบางครั้งก็อาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ และถ้ารู้คำศัพท์มาก รู้ชนิดของคำ
แต่ไม่มีความรู้เรื่องไวยากรณ์ก็ทำให้เกิดความผิดพลาดได้เช่นกัน
หมายเหตุอีกรอบ
ข้อมูลเหล่านี้ที่สรุปจากประสบการณ์ที่ได้สอนมา ซึ่งในข้อ 2 ที่เป็นการวัดความหมายของคำศัพท์ และ ชนิดของคำ อาจจะเพิ่มเติมหลังชนิดของคำไว้ว่า
“หรือไวยากรณ์” ไว้ด้วย เพราะในบางครั้ง
โจทย์อาจจะกำหนดมาเพื่อวัดความหมายคำศัพท์และไวยากรณ์ไว้เพียงสองอย่างเท่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้น การสรุปให้เห็นคร่าวๆ นี้
มีจุดประสงค์เพื่อให้เด็กๆเห็นว่า การที่จะทำข้อสอบในส่วนของคำศัพท์ได้นั้น
จะต้องมีความรู้อะไรบ้าง
วิธีการสังเกตชนิดของคำที่ต้องเติมในช่องว่างในการทำแบบฝึกหัดวัดคำศัพท์ (2)
กลับมาแล้วค่า... มาต่อกันเลยละกันน้า
คราวแล้วเป็นเรื่องของคำนามนะคะ บล็อกนี้ก็จะเป็นตำแหน่งของกริยา (verb) คำคุณศัพท์ (adjective) และคำวิเศษณ์ค่ะ (adverb)
ตำแหน่งที่คำกริยาอยู่ ก็ง่ายๆค่ะ หลังประธาน เป็นหลักค่ะ
ถ้ามีคำถามในใจว่า อยู่หน้ากรรมได้มั๊ย ตอบว่า ได้ค่ะ แต่มันไม่ชัวร์
เพราะอะไร? หลังกริยาบางทีก็ไม่ได้เป็นกรรมเสมอไปนะคะ
บางทีหลังกริยา ก็จะเป็น คำบุพบทบ้าง เป็นคำวิเศษณ์บ้างค่ะ
ถ้าสังเกตตำแหน่งประธานเป็นก็จะชัวร์ที่สุดค่ะ
ต่อไปก็ตำแหน่งของคำคุณศัพท์ ก็จะอยู่
1. หน้าคำนาม 2. หลัง v.to be หรือ linking v. 3. หลัง คำวิเศษณ์
สุดท้ายก็เป็นตำแหน่งของคำวิเศษณ์ โดยทั่วไปก็จะอยู่
1. หลังกริยา 2. หลังกรรม 3. หน้าคำคุณศัพท์
ในกรณีที่เป็นคำวิเศษณ์ที่บอกเรื่องเวลา ก็จะอยู่
4. อยู่หน้าสุดของประโยค 5. อยู่หลังสุดของประโยค
ในกรณีที่เป็นคำวิเศษณ์ที่บอกเรื่องความถี่ ก็จะอยู่
6. หลังประธาน 7. หลัง v. to be 8. หลัง v. ช่วย
เรื่องตำแหน่งของคำวิเศษณ์จะค่อนข้างเยอะหน่อยค่ะ
โดยเฉพาะเรื่องของ v. ช่วย (helping v.) ถ้าใครยังไม่เข้าใจว่า
คืออะไร ก็สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ทั้งในบล็อกนี้ ซึ่งได้เขียนไว้แล้วใน
บล็อกอันแรกๆค่ะ ลองไปหาอ่านดูนะคะ แต่ถ้าไม่อยากอ่านในบล็อกนี้
ก็ไปค้นใน google เพิ่มเติมเองก็ได้ค่ะ
ถ้ามีอะไรอยากแนะนำหรือมีข้อสงสัยสอบถามทิ้งไว้เลยได้เลยนะคะ
ยินดีรับฟังและตอบข้อซักถามค่ะ :)
Subscribe to:
Posts (Atom)