Thursday, July 19, 2012

วิธีการสังเกตข้อสอบปรนัยเรื่อง Noun and Pronoun

มาเริ่มกันที่เรื่องคำนามกันก่อนนะคะ  สำหรับเรื่องคำนามนี้ จริงๆแล้วค่อนข้างกว้าง แต่หลักๆที่ต้องรู้คือ คำนามที่เป็นเอกพจน์ ถ้าจะทำให้เป็นพหูพจน์มีกฏอย่างไรบ้าง หรือคำนามตัวไหนที่เป็นคำนามนับได้ หรือเป็นคำนามนับไม่ได้บ้าง เนื่องจากคำนามที่นับไม่ได้นั้นไม่สามารถทำให้เป็น พหูพจน์ ได้  นั่นหมายถึงว่า ห้ามมีการเติม -s หรือ -es ใดๆทั้งสิ้น (ในกรณีถ้ามีตัวเลือกลวงเรา โดยเอาคำนามนับไม่ได้มาเติม - s เราก็จะรู้ทันทีว่าตัวเลือกข้อนั้นผิด)

เรื่องคำนามนับได้ที่มีพจน์เป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ และคำนามนับไม่ได้ จะเชื่อมโยงกับเรื่องการสังเกตคำเหล่านี้ค่ะ เช่น There is, There are, many, much, some  เป็นต้น

เช่นทั้ง There is, There are นั้นแปลว่า "มี" เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่
There is + นามนับได้เอกพจน์ และ คำนามนับไม่ได้
There are + นามนับได้พหูพจน์

many, much แปลว่า "มาก" เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่
many + นามนับได้พหูพจน์
much + นามนับไม่ได้

some แปลว่า "บาง,บ้าง" นามที่ตามหลัง some จะเป็น คำนามนับได้พหูพจน์ และ คำนามนับไม่ได้

เพราะฉะนั้น นอกจากจะมีความรู้เรื่องชนิดและพจน์ของคำนามแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องรู้ด้วยค่ะว่า
นามที่ตามหลังคำเหล่านั้นต้องเป็นคำนามประเภทไหน พจน์ไหน

ส่วนเรื่องคำสรรพนาม สังเกตตำแหน่ง และอาจจะต้องใช้ความสามารถในการแปลบ้าง (เท่าที่คิดนะคะ ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ)

Subject Pron. อยู่หน้ากริยา
Object Pron. อยู่หลังกริยา
Possessive Pron. ตำแหน่งจะอยู่หน้าหรือหลังกริยาก็ได้ค่ะ แต่สำหรับตัวนี้ ให้ดูในประโยคก่อนหน้า (ถ้ามี) ที่เกี่ยวกับการแสดงความเป็นเจ้าของอยู่ แต่ถ้าประโยคก่อนหน้าประโยคโจทย์ไม่มีคำใดๆที่บอกถึงการแสดงความเป็นเจ้าของเลย ต้องอาศัยการแปลความหมายได้ช่วยในการตัดสินใจที่จะตอบด้วยค่ะ
 (นี่สรุปจากแบบฝึกหัดกับตัวอย่างในหนังสือมานะคะ) 
Reflexive Pron. ตำแหน่งอยู่หลังกริยา หรือหลังคำว่า by ค่ะ (นี่สรุปจากแบบฝึกหัดกับตัวอย่างในหนังสือเหมือนกันค่ะ)

ก็ตามนี้เลยแล้วกันนะค้า สู้ๆค่า :)

Wednesday, July 18, 2012

หลักการทำแบบฝึกหัด/ข้อสอบส่วนคำศัพท์


การทำข้อสอบส่วนของคำศัพท์ ส่วนใหญ่ จะวัดในเรื่อง
                1. ความหมายของคำศัพท์ที่เติมลงในประโยคแล้ว ทำให้ประโยคมีความหมายมากที่สุด ซึ่งโจทย์ต้องการวัดความรู้ในเรื่องความหมายคำศัพท์เพียงอย่างเดียว เช่น

                                __________ is essential for our body system.

                                ตรงช่องว่างที่เว้นว่างไว้ เป็นตำแหน่งของ “ประธาน” (Subject) ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ชนิดของคำที่ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยคคือ “คำนาม” (Noun) และในตัวเลือกจะมีแต่ตัวเลือกที่ทำหน้าที่เป็นคำนามเท่านั้น

                a. Oxygen            b. Acid                  c. Light                  d. Fire
                               
                                ตัวเลือกทั้ง 4 ข้อ ทำหน้าที่เป็นคำนามนับไม่ได้ทั้งหมด ซึ่งต้องใช้กับกริยารูปเอกพจน์ ซึ่งในประโยคเป็นคำว่า “is เป็นส่วนที่โจทย์กำหนดมาให้ถูกต้องอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องเข้าใจคือ ความหมายของประโยคโจทย์และตัวเลือกคืออะไร จึงจะสามารถเลือกเติมคำได้ถูกต้อง ซึ่งคำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ a.
                               
                2. ความหมายของคำศัพท์ และ ชนิดของคำศัพท์ เช่น

                                Acid is __________ for our body system.
                               
                                ตรงช่องว่างที่เว้นว่างไว้ เป็นตำแหน่งของ “คำคุณศัพท์” (Adjective) ข้อสังเกต คือ คำคุณศัพท์จะอยู่หลัง v.to be หรือบางครั้ง อยู่หลัง linking v. แต่ในกรณีนี้ ให้สังเกตที่ v. to be คือ is  
                หมายเหตุ คำอธิบายนี้ ไม่รวมถึงการใช้คำคุณศัพท์หรือการใช้V. to be ในกรณีอื่นๆ ซึ่งอาจารย์ใช้การอธิบายในทำโจทย์ตัวอย่างเท่านั้น หมายถึงว่า เด็กๆต้องไปศึกษาเรื่องการใช้และตำแหน่งของคำคุณศัพท์ และการใช้v. to be ในแต่ละtense และ voice เพิ่มเติม

                a. useful               b. dangerous     c. bravely             d. usefully
               
                                จากตัวเลือกทั้ง 4 ข้อ จะเห็นได้ว่า ตัวเลือกข้อ c และ d ชนิดของคำคือ คำวิเศษณ์ (Adverb) เพราะฉะนั้น จะสามารถตัดตัวเลือกสองข้อนี้ออกไปได้เลย ซึ่งตัวเลือกข้อ a และ b ทำหน้าที่เป็น คำคุณศัพท์ทั้งสองคำ ซึ่งก่อนจะเติมคำลงไปในประโยคให้ถูกต้อง จะต้องทราบก่อนว่าประโยคโจทย์และตัวเลือกที่เหลืออยู่ 2 ข้อ หมายถึงอะไร  ซึ่งคำตอบที่ถูกคือ ข้อ b.

                3. ความหมายของคำศัพท์ ชนิดของคำศัพท์ และไวยากรณ์ เช่น

                                Junk food can ___________ the people’s health.
               
                                ตรงช่องว่าง จะต้องเติม “V. infinitive” สังเกตได้จากคำว่า can ซึ่งเป็น Modal v. หรือ v. ช่วยอีกชนิดหนึ่ง ซึ่ง Modal v. ต้องตามด้วย V.infinitive  

                a. go                      b. serious            c. damage           d. damages

                                จากตัวเลือกทั้ง 4 ข้อ จะเห็นได้ว่า สามารถตัดข้อ b. และ d. ออกไปได้เลย เนื่องจากข้อ b.เป็นคำคุณศัพท์และ damage เติม s ไม่ใช่ v.infinitive แต่เป็นกริยาช่องที่ 1 ที่เติม s เนื่องจากประธานของประโยค (Junk food) เป็นคำนามนับไม่ได้ ซึ่งถ้าใครไม่ทราบกฎการใช้กริยาที่ตามหลัง modal v. (can) ก็อาจจะถูกลวงให้ตอบข้อd. ได้ ก็จะเหลือข้อ a. และ c. ซึ่งก็ต้องมาวัดกันในเรื่องของความหมาย ซึ่งข้อที่ถูกต้องคือข้อ c.

                สรุปคือ ในการทำข้อสอบคำศัพท์ การรู้คำศัพท์มากจะได้เปรียบในการทำข้อสอบ แต่ถ้ารู้คำศัพท์มากแต่ไม่รู้ชนิดของคำ ในบางครั้งก็อาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ และถ้ารู้คำศัพท์มาก รู้ชนิดของคำ แต่ไม่มีความรู้เรื่องไวยากรณ์ก็ทำให้เกิดความผิดพลาดได้เช่นกัน

                หมายเหตุอีกรอบ ข้อมูลเหล่านี้ที่สรุปจากประสบการณ์ที่ได้สอนมา ซึ่งในข้อ 2 ที่เป็นการวัดความหมายของคำศัพท์ และ  ชนิดของคำ อาจจะเพิ่มเติมหลังชนิดของคำไว้ว่า “หรือไวยากรณ์” ไว้ด้วย  เพราะในบางครั้ง โจทย์อาจจะกำหนดมาเพื่อวัดความหมายคำศัพท์และไวยากรณ์ไว้เพียงสองอย่างเท่านั้น  ทั้งนี้ทั้งนั้น การสรุปให้เห็นคร่าวๆ นี้ มีจุดประสงค์เพื่อให้เด็กๆเห็นว่า การที่จะทำข้อสอบในส่วนของคำศัพท์ได้นั้น จะต้องมีความรู้อะไรบ้าง  

วิธีการสังเกตชนิดของคำที่ต้องเติมในช่องว่างในการทำแบบฝึกหัดวัดคำศัพท์ (2)

กลับมาแล้วค่า... มาต่อกันเลยละกันน้า 

คราวแล้วเป็นเรื่องของคำนามนะคะ บล็อกนี้ก็จะเป็นตำแหน่งของกริยา (verb) คำคุณศัพท์ (adjective) และคำวิเศษณ์ค่ะ (adverb)

ตำแหน่งที่คำกริยาอยู่ ก็ง่ายๆค่ะ หลังประธาน เป็นหลักค่ะ 
ถ้ามีคำถามในใจว่า อยู่หน้ากรรมได้มั๊ย ตอบว่า ได้ค่ะ แต่มันไม่ชัวร์ 
เพราะอะไร? หลังกริยาบางทีก็ไม่ได้เป็นกรรมเสมอไปนะคะ 
บางทีหลังกริยา ก็จะเป็น คำบุพบทบ้าง เป็นคำวิเศษณ์บ้างค่ะ 
ถ้าสังเกตตำแหน่งประธานเป็นก็จะชัวร์ที่สุดค่ะ 

ต่อไปก็ตำแหน่งของคำคุณศัพท์ ก็จะอยู่
1. หน้าคำนาม 2. หลัง v.to be หรือ linking v. 3. หลัง คำวิเศษณ์ 

สุดท้ายก็เป็นตำแหน่งของคำวิเศษณ์ โดยทั่วไปก็จะอยู่
1. หลังกริยา   2. หลังกรรม  3. หน้าคำคุณศัพท์ 

ในกรณีที่เป็นคำวิเศษณ์ที่บอกเรื่องเวลา ก็จะอยู่
 4. อยู่หน้าสุดของประโยค  5. อยู่หลังสุดของประโยค 

ในกรณีที่เป็นคำวิเศษณ์ที่บอกเรื่องความถี่ ก็จะอยู่
6. หลังประธาน  7. หลัง v. to be    8. หลัง v. ช่วย

เรื่องตำแหน่งของคำวิเศษณ์จะค่อนข้างเยอะหน่อยค่ะ
โดยเฉพาะเรื่องของ v. ช่วย (helping v.) ถ้าใครยังไม่เข้าใจว่า 
คืออะไร ก็สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ทั้งในบล็อกนี้ ซึ่งได้เขียนไว้แล้วใน
บล็อกอันแรกๆค่ะ ลองไปหาอ่านดูนะคะ แต่ถ้าไม่อยากอ่านในบล็อกนี้
ก็ไปค้นใน google เพิ่มเติมเองก็ได้ค่ะ 

ถ้ามีอะไรอยากแนะนำหรือมีข้อสงสัยสอบถามทิ้งไว้เลยได้เลยนะคะ
ยินดีรับฟังและตอบข้อซักถามค่ะ :) 

Sunday, June 24, 2012

วิธีการสังเกตชนิดของคำที่ต้องเติมในช่องว่างในการทำแบบฝึกหัดวัดคำศัพท์ (1)

โหว... ห่างหายมานาน... ไม่รู้ว่ามีคนติดตามอ่านรึเปล่าน้อ... ไม่เพ้อดีกว่านะคะ เริ่มกันเลยดีกว่า

ถ้าใครอ่านชื่อเรื่องบล็อกนี้แล้วงงว่า ทำไมต้องมี วงเล็บแล้วมีเลขหนึ่งอยู่ด้วย คำตอบคือ คิดว่าเขียนบล็อกเดียว ทีเดียวอาจจะยาวไปค่ะ กว่าจะอ่านเสร็จ คงเหนื่อยกันเลยทีเดียว ก็เลยเแยกบล็อกให้ค่ะ

สำหรับเรื่องที่กำลังจะได้อ่านกันต่อไปนี้ เป็นการรวบรวมจากประสบการณ์ในการเห็นข้อสอบและการทำข้อสอบ รวมถึงเวลาที่เตรียมการสอนและพยายามหาวิธีที่จะสามารถเป็นทางลัด (ได้อีกทางหนึ่ง) ซึ่งจริงๆแล้ว จากใจค่ะ ส่วนตัวไม่ค่อยชอบวิธีนี้เท่าไหร่ เพราะมันเหมือนไม่ได้วัดความรู้ทางคำศัพท์จริงๆ เพราะถ้าพูดถึงคำศัพท์ แสดงว่าต้องรู้ความหมายถึงจะสามารถนำคำไปเติมได้ถูกต้องใช่มั๊ยคะ แต่วิธีการที่เสนอนี้ เหมือนเป็นการลักไก่น่ะค่ะ ในกรณีที่เป็นแบบฝึกหัดหรือข้อสอบแบบมีตัวเลือกให้

ซึ่งหลักๆแล้วเป็นการสังเกตอยู่สองอย่างคือ ชนิดของคำ และ ตำแหน่งที่คำนั้นอยู่ค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอาศัยการทำแบบฝึกหัดหรือไปหาข้อสอบมานั่งทำบ่อยๆ ค่ะ ... เริ่มกันเลยนะคะ

จะขอเริ่มจาก "คำนาม" (noun) ซึ่งตำแหน่งของ น้องนาว ของเรานี้ มีข้อสังเกตค่อนข้างเยอะค่ะ

ตำแหน่งที่หนึ่งคือ อยู่หน้าประโยคหรือขึ้นต้นประโยคหรืออยู่หน้ากริยาค่ะ  เพราะหน้าที่ของคำนามสามารถเป็นประธาน (Subject)ของประโยคได้ค่ะ

ตำแหน่งที่สอง คือ อยู่หลังกริยา ทำหน้าที่เป็นกรรม (Object)ของประโยคค่ะ

ตำแหน่งที่สามคือ อยู่หลัง คำนำหน้านาม (Article) a, an, the

ตำแหน่งที่สี่คือ อยู่หลังคำคุณศัพท์ (Adjective)


ตำแหน่งที่ห้าคือ อยู่หลังคำบอกจำนวนที่ไม่เฉพาะเจาะจงหรือที่เรียกว่า Indefinite Adjective เช่น some, any, many, much, few, a few, little, a little เป็นต้น


ตำแหน่งที่หกคือ อยู่หลังคำบุพบท (Preposition) 


เนี่ยแหละค่ะ ที่พอสรุปได้จากประสบการณ์คือประมาณนี้ และตามความคิดคือ วิธีนี้น่าจะใช้ได้ผลกับเด็กที่อ่านออกและรู้คำศัพท์และรู้ชนิดของคำศัพท์นั้นบ้าง  คือยังไงหลักๆก็ต้องอ่านออกค่ะ เพราะถ้าอ่านไม่ออก เราจะไม่มีทางรู้เลยว่า เรากำลังเรียนรู้หรือศึกษาเรื่องอะไรอยู่  ในส่วนที่ลงท้ายด้วยคำว่าบ้าง เพราะถ้าเป็นเด็กที่ทั้งอ่านออกและรู้คำศัพท์เยอะๆ ส่วนใหญ่ก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ ไม่ต้องใช้ข้อสังเกตนี้ก้ได้ แปลแล้วเลือกคำลงอย่างเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องอาศัยความตั้งใจและความสม่ำเสมอในเรื่องของการพัฒนาตัวเองอยู่แล้วค่ะ ยิ่งเราทำบ่อย ทำเยอะ ทำเป็นประจำ เราจะพัฒนาเร็วค่ะ ...

อีกอย่างหนึ่งก็คือ ถึงเด็กคนไหนที่มาอ่านบล็อกนี้แล้ว ท่องได้หมดว่า ตำแหน่งของคำนามสามารถจะอยู่ตรงไหนได้บ้าง แต่ไม่รู้จักว่าคำคำนี้คือคำคุณศัพท์ ไม่รู้จักว่า คำคำนี้ คือคำบุพบท ก็ไม่สามารถที่จะใช้หลักการสังเกตนี้ได้เหมือนกันค่ะ เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าใครรู้ตัวเองว่า พื้นฐานความรู้ภาษาอังกฤษยังไม่อยู่ในระดับที่จะเรียนรู้เรื่องพวกนี้ ต้องขยันกันหน่อยแล้วค่ะ ... ไม่มีคำว่า"ทำไม่ได้" สำหรับคนที่ตั้งใจแล้วก็พยายามอย่างเต็มที่หรอกนะคะ ... อะไรก็เป็นไปได้ค่ะ ขอแค่ใจเราเชื่อและลงมือทำจริงๆ ... เป็นกำลังใจให้ค่ะ


Sunday, June 10, 2012

‎The Difference between House and Home (ความแตกต่างระหว่างคำว่า house กับ home)

สองคำนี้แปลความหมายได้เหมือนกันคือบ้าน แต่house เน้น บ้านที่เป็นสิ่งปลูกสร้าง ส่วน home นั้น เน้นความรัก ความอบอุ่นที่คนในครอบครัวมีให้กัน เลยทำให้เกิด "บ้าน" ที่มีความหมายลึกซึ้ง กว่าบ้านที่สร้างไว้เฉยๆค่ะ ... เอาง่ายๆ คำที่แปลว่าคิดถึงบ้าน ภาษาอังกฤษ "homesick" โดยตัวของ sick เอง แปลว่า เจ็บป่วย พอมารวมกับบ้าน เด็กๆคงคิดว่า เอ๊ะ!!! บ้านมันป่วยได้ด้วยหลอ ... ซึ่งจริงแล้ว เราก็รู้กันอยู่แล้วว่า บ้านไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ไม่สามารถกระทำกริยาได้ เพราะฉะนั้นบ้านมันป่วยไม่ได้หรอกค่ะ แต่เป็นคำประสมที่เอามารวมกัน แล้วหมายถึง "โรคคิดถึงบ้าน" นั่นเองค่ะ ... :)

Monday, April 30, 2012

Passive Voice (ประโยคกรรมวาจก) ตอนที่ 2

... ถ้าใครพอจะเข้าใจแล้ว เดี๋ยวเราไปดูสูตรโครงสร้างของ tense อื่นๆพร้อมกันได้เลยนะคะ
บิ้วขอเลือกมาแต่เฉพาะtense ที่มักจะใช้กันบ่อยๆก็แล้วกันนะคะ :)

Present Continuous       +       Passive      =   Present Continuous Passive
S+is/am/are+V.ing         +     be + V.3    =     S+is/am/are+being+V.3
(V. ing ของ V.to be = being)

Present Perfect    +    Passive              =       Present Perfect Passive
S+have/has+V.3  +  be + V.3              =      S+have/has+ been+ V.3

(V. 3 ของ V.to be = been)   

Past Simple    +          Passive              =       Past Simple Passive
S+V.2            +        be + V.3              =      S+was/were+ V.3
  (V. 2 ของ V.to be = was/were)    

Past Continuous       +       Passive           =   Past Continuous Passive
S+was/were+V.ing         +     be + V.3   =      S+was/were+being+V.3
(V. ing ของ V.to be = being)

Past Perfect    +    Passive              =       Past Perfect Passive
S+had +V.3    +  be + V.3              =      S+had+ been+ V.3

(V. 3 ของ V.to be = been)

Future Simple                 +          Passive               =       Future Simple Passive
S+will+V.infinitive           +        be + V.3              =          S+will+be+ V.3
  (V. infinitive ของ V.to be = be)

ตามนี้เลยนะคะ :)

สุดท้ายก็จะได้กล่าวถึงขั้นตอนของการเปลี่ยนประโยคจาก active เป็น passive กันนะคะ
1. ให้ดูกรรมในactive (ดูว่าใคร อะไร หรือสิ่งใดถูกกระทำ)
2. นำกรรมที่ได้จาก active ไปขึ้นต้นประโยคของ passive เพื่อทำหน้าที่เป็นประธาน
3. ดูtense ในactive เพื่อที่จะได้ผันโครงสร้างได้ถูกต้องตาม tense ที่กำหนด (ต้องดูtense ใน active เป็นหลัก)
4. ทราบ tense แล้ว ตอนจะเขียนโครงสร้าง passive ตัวกริยาหลักให้ดูใน active ซึงตัวกริยาหลักนี้ต้องผันเป็น กริยาช่องที่ 3 ทุกครั้งเมื่อเขียนลงในประโยค passive
5. ถ้าทราบว่าถูกกระทำโดยใคร ให้เขียน by หลัง กริยาหลัก แล้วตามด้วยผู้กระทำ (ซึ่่งก็คือ ประธานในประโยคactive)

สิ่งหนึ่งที่ต้องจำไว้เลยว่า ถ้าเป็น Passive ยังไงต้องเป็น V.to be (is, am, are, was, were, been, being, be) ตามด้วย V.3 เสมอเลยนะคะ

ไม่ยากนะคะสำหรับเรื่องนี้ แต่ขอให้แม่นโครงสร้าง แล้วก็กริยาสามช่องค่ะ แล้ววิธีการที่จะทำให้เราแม่นโครงสร้าง ก็แล้วแต่วิธีการของแต่ละคนนะคะ ส่วนใหญ่ก็จะท่องจำกันใช่ป่าวคะ แต่สำหรับบิ้ว การท่องจำ เป็นเพียงความจำระยะสั้นเท่านั้น ถ้าใช้สูตรที่ตัวเองคิดได้ ก็น่าจะดีกว่า แต่การดูแนวทางจากผู้อื่นแล้วนำมาประยุกต์ใช้เป็นวิธีของตัวเองก็เป็นวิธีการที่ดีค่ะ นอกจากนี้แล้วยังต้องอาศัยการฝึกฝนในเรื่องของการทำแบบฝึกหัดบ่อยๆ ค่ะ จะได้ชินตากับรูปประโยคและรูปของกริยาค่ะ ... เหมือนเดิมค่า มีคำถามหรือข้อเสนอแนะอะไร ก็โพสต์ไว้ได้เลยนะค้า :) ขอบคุณมากค่า ...



Passive Voice (ประโยคกรรมวาจก) ตอนที่ 1

เห็นหัวข้อที่แปลภาษาไทยก็ปวดหัวแล้วใช่มั๊ยคะ หุหุ ... เอาเป็นว่า บิ้วก็แปลพอให้เป็นพิธีให้เท่านั้นเองค่ะ
มาทำความเข้าใจกันดีกว่า ว่า Passive Voice คือ อะไร แต่ก่อนที่จะไปรู้จักเค้า บิ้วคงต้องขอแนะนำActive Voice ก่อนแล้วกันนะคะ แต่ก่อนอื่นที่จะรู้จักทั้ง Active และ Passive มาดูคำว่า Voice กันก่อนนะคะ

คำว่า Voice ณ ทีนี้ไม่ได้แปลว่า เสียง นะคะ  แต่มันแปลได้ว่า วาจกในไวยากรณ์ http://dict.longdo.com/search/voice%20

ซึ่งวาจกตัวนี้ ถ้าเป็นคำนาม จะแปลว่า ผู้บอก หรือ ผู้พูด แต่ถ้าเป็นกริยา จะแปลว่า คำบอกหน้าที่ของคำกริยา http://www.online-english-thai-dictionary.com/definition.aspx?data=2&word=%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%81

ทีนี้ก็มาดูกันค่ะ ว่า Active กับ Passive เค้ามีความต่างกันยังไง

Active - ประธานเป็นผู้กระทำกริยา http://dict.longdo.com/search/Active
Passive - เกี่ยวกับกรรมวาจก http://dict.longdo.com/search/passive
                (กรรม - คนหรือสิ่งที่ถูกกระทำ)

ความต่างอยู่ตรงที่คำว่า "กระทำ" โดย Active ประธานกระทำ แต่ Passive ประธานถูกกระทำ
ต่อไป ก็จะได้พูดถึงโครงสร้างของประโยค Passive Voice กันนะคะ
ถ้าอ่านถึงตรงนี้แล้วเกิดคำถามขึ้นในใจว่า แล้วโครงสร้างประโยค Active Voice ล่ะ
คำตอบของบิ้วคือ ก็tense ทั้ง 12 tenses นั่นแหละค่ะ ที่เป็นโครงสร้างของ Active ทั้งหมด
ซึ่งโครงสร้างก็ไม่ได้มีแต่ประโยคบอกเล่า ก็จะรวมถึงคำถามและปฏิเสธด้วยเหมือนกัน
แต่ในบล็อกนี้ บิ้วอยากให้ทุกๆคน เข้าใจโครงสร้างบอกเล่ากันก่อนนะคะ

แน่นอนว่า ถ้า Active มี 12 tenses Passive ก็ต้องมีเหมือนกัน แถมแต่ละ tense ก็มีโครงสร้างทั้ง
บอกเล่า คำถาม และ ปฏิเสธเหมือนกัน อย่างละ 3 โครงสร้าง โหยย มากมายใช่ป่าวคะ
แต่จริงๆแล้ว ไม่มีอะไรยากเลยค่ะ เรื่อง tense เนี่ย บิ้วมีสูตรโครงสร้างบอกเล่าของ Acitve ทั้ง 12 tenses
ไว้แล้ว ในบล็อกอันแรก http://rati-ho.blogspot.com/2011/12/12.html สิ่งที่อยากจะบอกคือ
ถ้าพื้นฐานเรื่องโครงสร้างเราแน่น อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรน่ากลัวค่ะ ถ้าเกิดคำพูดขึ้นในใจว่า
ก็โครงสร้างของตัวเองไม่แน่น ผู้อ่านก็ต้องหาวิธีที่จะพัฒนาตัวเองนะคะ ของแบบนี้สอนกันไม่ได้หรอก
ได้แค่แนะนำ ทุกอย่างอยู่ที่ใจของผู้อ่านเองค่ะ ว่าจะพยายามมากน้อยแค่ไหน

มาเข้าเรื่องโครงสร้างของ Passive กันเลยค่ะ

โครงสร้างยืนพื้นของ Passive คือ v.to be + V.3

ถ้าใครเคยอ่าน หรือยังไม่ได้อ่านบล็อกอันแรก บิ้วแนะนำให้ไปอ่านตรงนั้นก่อนค่ะ เพราะเราจะใช้สูตรเดียวกัน คือการบวก (+) โครงสร้างประโยคเข้าด้วยกัน มาลองทำดูนะคะ

Tenses                                         Active    เปลี่ยนเป็น          Passive ได้ดังนี้ค่ะ

Present Simple                            S + V.1                          S + is/am/are + V.3

โครงสร้าง Present Simple คือ S + V.1  รวมกับ Passive คือ be + V.3

เขียนเป็นสูตรได้ดังนี้ค่ะ               Present Simple        +           Passive
                                                S+ V.1                        +          be + V.3
   เน้นสีม่วงคือ V.1 ใน Present Sim มาชนกับ be (หรือ V. to be) ใน Passive
   V.1 ของ V.to be มีอยู่สามตัว คือ is/am/are

   จึงได้ผลสุดท้ายตามนี้ค่ะ Present Simple Passive = S+is/am/are + V.3

อยากให้ทุกๆคนเข้าใจสูตรตรงนี้ก่อนนะคะ  ... บิ้วคงต้องขอจบเพียงเท่านี้ก่อน เพราะเดี๋ยวจะยาวไป
อยากให้เข้าใจคร่าวๆ เกี่ยวกับความหมายกันก่อน ส่วนเรื่องโครงสร้าง ไว้ไปติดตามอ่านในบล็อกถัดไปกันนะคะ ... ขอบคุณค่า :)