วิธีการทั้งสองวิธีการนี้ เป็นทักษะการค้นหา (Searching skill) ที่จะสามารถช่วยให้ผู้อ่านสามารถอ่านเรื่องได้รวดเร็วและเข้าใจเรื่องที่อ่านได้ (ซึ่งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า ผู้อ่านจะต้องทราบคำศัพท์พอสมควรในระดับที่เหมาะสมกับชั้นที่กำลังศึกษาอยู่) โดยไม่จำเป็นต้องอ่านเนื้อเรื่องทั้งหมด (ไม่ต้องอ่านทุกคำหรือต้องรู้คำศัพท์ทุกคำที่มีในบทอ่านนั้น)
การอ่านแบบ skimming นั้น สามารถใช้วิธีการต่างๆ นี้ได้ โดยอ่านหัวข้อ จากนั้นก็อ่านบทนำหรือย่อหน้าแรกของเนื้อเรื่อง หรือจะเลือกอ่านประโยคแรกหรือประโยคสุดท้ายของทุกๆย่อหน้าก็ได้ หรือในกรณีที่ผู้อ่านมีความรู้เรื่องประโยคหลักและประโยครอง ก็สามารถเลือกอ่านแบบนี้ได้ (ตามแต่ความถนัดส่วนบุคคล) นอกจากนี้แล้ว ยังสามารถใช้วิธีการเหล่านี้ร่วมด้วยได้ เช่น การสังเกตจากภาพ ตาราง กราฟ แผนภูมิหรือแผนผัง(ถ้ามีในบทอ่าน) หรือถ้ามีตัวหนังสือแบบเอียง แบบหนา ซึ่งมักจะเป็นคำสำคัญ
ส่วนการอ่านแบบ scanning นั้น จะเป็นวิธีการหาข้อมูลเฉพาะ เช่น ตัวเลข วันที่ สถานที่ ชื่อคน เป็นต้น จะเป็นข้อมูลที่ปรากฏให้ผู้อ่านเห็นได้อย่างชัดเจนในบทอ่าน โดยถ้าในคำถาม ถามถึงสถานที่ ก็ให้กวาดสายตาไล่ดูแต่คำที่หมายถึงสถานที่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสถานที่เฉพาะ เป็นชื่อเฉพาะ ดังนั้นต้องขึ้นต้นด้วยอักษรตัวใหญ่แน่นอน (แต่อย่างที่ได้ระบุไว้ข้างต้นว่า ผู้อ่านต้องทราบคำศัพท์พอสมควร เพราะคำที่ขึ้นต้นด้วยอักษรใหญ่ทุกตัว ไม่ได้หมายถึงสถานที่เฉพาะทุกตัว อาจจะหมายถึงชื่อคนหรือชื่อเมืองหรือชื่อถนน ขึ้นอยู่กับความรู้รอบตัวของแต่ละบุคคลด้วย)
ความแตกต่างของวิธีการอ่านสองวิธีนี้คือ
Skimming - เห็นใจความสำคัญของบทอ่าน มองเห็นภาพรวมแบบคร่าวๆ ว่าบทอ่านนั้นเกี่ยวกับอะไร
Scanning - หาข้อมูลเฉพาะ
ดังนั้นวิธีการทั้งสองวิธีการนี้ จะเป็นประโยชน์ในการทำข้อสอบส่วนการอ่านมากกับผู้อ่านที่ทราบคำศัพท์พอสมควรแล้ว และจะช่วยให้หาคำตอบได้เร็วยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอาศัยการฝึกทำบ่อยๆ ถ้าหากอยากจะให้ทักษะทางการอ่านพัฒนา ก็ควรฝึกทำทุกวัน วันละ 10 - 15 นาทีก็พอ
สู้ๆนะคะ :)
Easy EK (Easy English Knowledge)
สิ่งต่างๆ ที่จะได้นำเสนอนี้ เกิดขึ้นจากวิธีการคิดของผู้เขียนด้วยตนเอง มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้อ่านได้มีสูตรในการจำโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาแบบง่ายๆ หรือ วิธีการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในเนื้อหาด้านอื่นๆ ถ้าผู้อ่านท่านใดมีความประสงค์จะนำข้อมูลนี้ไปเผยแพร่ ผู้เขียนก็มีความยินดีและดีใจที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้ทุกๆคน ให้มีหลักการที่จะช่วยให้การเรียนรู้ภาษาอังกฤษง่ายขึ้น :) ขอบคุณทุกๆคนมากนะคะ ขอให้ชีวิตมีความสุขในทุกๆวันค่ะ
Sunday, March 10, 2013
Monday, December 10, 2012
รูปแบบประโยค (Sentence Patterns)
สำหรับภาษาอังกฤษนั้น ประโยคหนึ่งประโยคมีองค์ประกอบหลักอยู่สองตัวคือ ประธาน (Subject) และกริยา (Verb) อย่างเช่น I swim. = ฉันว่ายน้ำ ก็ถือเป็นประโยคหนึ่งประโยคที่มีใจความสมบูรณ์ อ่านแล้วเป็นที่เข้าใจได้ว่า ประธานกระทำกริยาอะไร แต่เนื่องจากว่า ประโยคพื้นฐานในภาษาอังกฤษมีอยู่ 5 รูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบก็จะมีความต่างกันออกไป สามารถอธิบายได้ ดังนี้
S = Subject = ประธาน
V = Verb = กริยา
O = Object = กรรม
1. S + Intransitive V.
Intransitive V. หมายถึงกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ เมื่ออ่านประโยคแล้วมีใจความสมบูรณ์ ทราบว่าประธานกระทำอะไร โดยจะขอยกตัวอย่างจากประโยค I swim. ซึ่ง swim ถือเป็น intransitive v. เพราะเมื่อแปลประโยคแล้ว มีความสมบูรณ์ในตัว จบในอารมณ์ความรู้สึก ไม่ค้างคาใจ แต่นอกจากว่า เราจะอยากอธิบายเพิ่มเติมว่า ว่ายน้ำเป็นอย่างไรบ้าง ว่ายเร็วหรือว่ายช้า เราก็สามารถเพิ่ม adverb (กริยาวิเศษณ์) ลงไปได้ เช่น I swim slowly. = ฉันว่ายน้ำช้า หรืออยากจะบอกว่า ว่ายน้ำเมื่อไหร่ I swam last week. = ฉันว่ายน้ำอาทิตย์ที่แล้ว หรือว่ายที่ไหน I swim in the pool. = ฉันว่ายน้ำในสระว่ายน้ำ
2. S + Transitive V. + Direct O.
Transitive V. หมายถึง กริยาที่ต้องการกรรมมารองรับ
Direct O. หมายถึง กรรมตรง คือ กรรมที่โดนกระทำจากประธานโดยตรง
(Direct = ตรง)
ถ้าถามว่าเราจะรู้ได้ยังไงว่ากริยาตัวไหนจะต้องการกรรมหรือไม่ต้องการกรรม วิธีการง่ายคือ ถ้าแปลมาแล้วอ่านแค่ประธานกับกริยาจะรู้สึกไม่จบในความรู้สึกว่า อ่าว แล้วยังไงต่อล่ะ อย่างเช่น I meet. = ฉันพบ เอ๊ะ... แล้วพบอะไรหรือพบใครล่ะ หรือ I love. = ฉันรัก เอ๊ะ... แล้วรักอะไรหรือรักใครล่ะ แต่ถ้าเราเติม
I meet your sister. = ฉันพบพี่สาว/น้องสาวของคุณ
I love you husband. = ฉันรักสามีของคุณ
เมื่อเติมกรรมไปแล้วว่าเจอใคร หรือรักใคร อ่านแล้วแปลความหมายออกมา ก็เข้าใจว่าประธานกระทำกริยาอะไรกับใครหรือสิ่งไหน มีใจความสมบูรณ์
3. S + V. to be/ Linking V. + completer (Adj., N.)
ในส่วนของ v. to be หรือ linking v. นั้นให้เป็นที่เข้าใจได้เลยว่า กริยาทั้งสองตัวนี้ทำหน้าที่ได้เหมือนกัน ในส่วนของการเป็นกริยาที่จะเชื่อมประธานเข้ากับส่วนเติมเติม คำว่า"ส่วนเติมเต็ม" เป็นส่วนที่ไปเติมเต็มให้ประธานมีความหมายสมบูรณ์มากขึ้น เมื่ออ่านและแปลแล้ว จะทราบว่าประธานมีลักษณะ อารมณ์ รูปร่างท่าทางเป็นอย่างไร หรือประธานเป็นอะไร
Jack is a victim. = แจ็คเป็นเหยื่อ
Jack looks sad. = แจ็คดูเศร้า
4. S + v. to be + Adverbial
โดยadverbial ที่ใช้คู่กับ v.to be ได้นั้น คือ manner = อาการท่าทาง, place = สถานที่, time = เวลา
He is here. = เขาอยู่ที่นี่
5. S + Transitive V. + IO (Indirect Object) + DO (Direct Object)
Indirect Object = กรรมรอง
โดยถ้ามีกรรมตรงและกรรมรองอยู่ในประโยคพร้อมกัน
กรรมตรงจะเป็นสิ่งของ และ กรรมรองจะเป็นคน
I sent Jane a gift. = ฉันส่งของขวัญให้กับเจน
(I sent a gift to Jane)
ถ้าถามว่าเราจะรู้ได้ยังไงว่ากริยาตัวไหนจะต้องการกรรมหรือไม่ต้องการกรรม วิธีการง่ายคือ ถ้าแปลมาแล้วอ่านแค่ประธานกับกริยาจะรู้สึกไม่จบในความรู้สึกว่า อ่าว แล้วยังไงต่อล่ะ อย่างเช่น I meet. = ฉันพบ เอ๊ะ... แล้วพบอะไรหรือพบใครล่ะ หรือ I love. = ฉันรัก เอ๊ะ... แล้วรักอะไรหรือรักใครล่ะ แต่ถ้าเราเติม
I meet your sister. = ฉันพบพี่สาว/น้องสาวของคุณ
I love you husband. = ฉันรักสามีของคุณ
เมื่อเติมกรรมไปแล้วว่าเจอใคร หรือรักใคร อ่านแล้วแปลความหมายออกมา ก็เข้าใจว่าประธานกระทำกริยาอะไรกับใครหรือสิ่งไหน มีใจความสมบูรณ์
3. S + V. to be/ Linking V. + completer (Adj., N.)
ในส่วนของ v. to be หรือ linking v. นั้นให้เป็นที่เข้าใจได้เลยว่า กริยาทั้งสองตัวนี้ทำหน้าที่ได้เหมือนกัน ในส่วนของการเป็นกริยาที่จะเชื่อมประธานเข้ากับส่วนเติมเติม คำว่า"ส่วนเติมเต็ม" เป็นส่วนที่ไปเติมเต็มให้ประธานมีความหมายสมบูรณ์มากขึ้น เมื่ออ่านและแปลแล้ว จะทราบว่าประธานมีลักษณะ อารมณ์ รูปร่างท่าทางเป็นอย่างไร หรือประธานเป็นอะไร
Jack is a victim. = แจ็คเป็นเหยื่อ
Jack looks sad. = แจ็คดูเศร้า
4. S + v. to be + Adverbial
โดยadverbial ที่ใช้คู่กับ v.to be ได้นั้น คือ manner = อาการท่าทาง, place = สถานที่, time = เวลา
He is here. = เขาอยู่ที่นี่
5. S + Transitive V. + IO (Indirect Object) + DO (Direct Object)
Indirect Object = กรรมรอง
โดยถ้ามีกรรมตรงและกรรมรองอยู่ในประโยคพร้อมกัน
กรรมตรงจะเป็นสิ่งของ และ กรรมรองจะเป็นคน
I sent Jane a gift. = ฉันส่งของขวัญให้กับเจน
(I sent a gift to Jane)
Thursday, November 22, 2012
Compound Sentence (ประโยคความรวม)
Compound
Sentence คือ
ประโยคความรวม หรือ ประโยคผสม โดย compound แปลว่า สิ่งที่เกิดจากองค์ประกอบสองส่วนขึ้นไป
ประโยคความรวม ประกอบด้วย Independent clause อนุประโยคที่เป็นอิสระ
สองหรือมากกว่าอนุประโยคขึ้นไป
Independent
clause หมายถึง
อนุประโยคที่เป็นอิสระที่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง สามารถอยู่ตามลำพังได้
(ไม่จำเป็นต้องมีอนุประโยคอื่นมาขยาย เมื่ออ่านแล้ว เข้าใจเลยว่า
ประธานกระทำกริยาอะไรในประโยค) มีตำแหน่งเทียบเท่ากับ ประโยคทั่วไปคือ simple sentence คือประกอบด้วย ประธานและกริยา เป็นหลัก
Independent clauses นำมารวมกันได้
2 วิธีคือ ใช้คำเชื่อมประสาน Coordinating Conjunctions และ
เครื่องหมายอัฒภาค คือ เครื่องหมายแยกข้อความ
ประโยคความรวมไม่สามารถมี subordinate clauses ได้ subordinate
clauses หมายถึง อนุประโยคที่เป็นส่วนขยาย
ไม่สามารถอยู่ตามลำพังได้ มีความหมายไม่สมบูรณ์ในตัวเอง
จำเป็นต้องไปทำหน้าที่ขยายใจความของประโยคหลักให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
Coordinating Conjunctions คำสันธานประสาน
หรือคำเชื่อมประสาน สามารถใช้เชื่อมประธานกับประธาน วลี กับ วลี หรือ
ประโยคกับประโยคก็ได้ ซึ่งมีทั้งหมด 7
คำดังนี้
for= เพื่อ, สำหรับ แสดงเหตุผล เพื่อเสริมประโยคที่มาก่อน
He comes here for a meeting. เขามาที่นี่เพื่อการประชุม
and =
และ ใช้เชื่อมข้อความที่คล้อยตามกันทำหน้าที่เชื่อมคำที่เป็นชนิดเดียวกัน
เช่นกริยากับกริยา
คำนามกับ คำนาม
I love
Pranee and Pongsee.
nor =
และ...ไม่ ใช้เชื่อมข้อความที่คล้อยตามกัน ในเชิงปฏิเสธ
Somkiet is neither rich nor
handsome.
but = แต่ ใช้เชื่อมข้อความที่ขัดแย้งกัน
The car is nice, but it is too
expensive.
or= หรือ ใช้เชื่อมข้อความที่ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
You can have a sandwich or fried
rice for lunch.
yet= แต่ ใช้เชื่อมข้อความที่ขัดแย้งกัน
He seems happy, yet he never
smiles.
so = ดังนั้น ใช้เชื่อมข้อความที่แสดงความเป็นเหตุเป็นผลกัน
John hates traffic jams, so he
decided not to study in Bangkok .
Sunday, August 19, 2012
Past Progressive (Past Continuous)
Past Progressive หรือ Past Continuous ก็คือกาลเวลาตัวเดียวกันค่ะ แค่ชื่อเรียกต่างกัน
กาลเวลานี้จะใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในอดีต ซึ่งสามารถใช้กับเหตุการณ์ในอดีต 2 เหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่พร้อมๆกัน ณ เวลาเดียวกันก็ได้ หรือจะใช้คู่กับ Past Simple โดยที่เหตุการณ์ที่เกิดก่อนและกำลังดำเนินอยู่นั้นเป็น Past Cont. และมีเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดแทรกขึ้นมาทันที ซึ่งเหตุการณ์ทีเกิดแทรกขึ้นมานี้จะใช้ Past Simple ค่ะ
จะมีโครงสร้างดังต่อไปนี้
Positive: S + was/were + V.ing
Question (Interrogative): Was/Were + S + V.ing?
Negative: S + was/were + not + V.ing
คำบอกเวลาหลักๆ ก็จะมี while กับ when ค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการแปลประโยคได้ด้วยเช่นกัน เพื่อที่จะทราบได้ว่า เหตุการณ์ใดกำลังดำเนินอยู่และเหตุการณ์ใดที่น่าจะเกิดแทรกขึ้นมาค่ะ
ถ้าใครอ่านบล็อกของ Past Perfect แล้วก็จะเห็นว่า ทั้ง Past Perfect และ Past Cont. ที่ใช้คู่กับ Past Sim. นั้น จะเกิดขึ้นก่อน Past Sim. ทั้งสองตัวค่ะ แต่Past Perfect เกิดก่อนและจบไปแล้ว Past Sim. ถึงเกิดตาม ส่วน Past Cont. นี้เกิดก่อนและกำลังดำเนินอยู่ Past Sim. จะเกิดแทรกขึ้นมาค่ะ
กาลเวลานี้จะใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในอดีต ซึ่งสามารถใช้กับเหตุการณ์ในอดีต 2 เหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่พร้อมๆกัน ณ เวลาเดียวกันก็ได้ หรือจะใช้คู่กับ Past Simple โดยที่เหตุการณ์ที่เกิดก่อนและกำลังดำเนินอยู่นั้นเป็น Past Cont. และมีเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดแทรกขึ้นมาทันที ซึ่งเหตุการณ์ทีเกิดแทรกขึ้นมานี้จะใช้ Past Simple ค่ะ
จะมีโครงสร้างดังต่อไปนี้
Positive: S + was/were + V.ing
Question (Interrogative): Was/Were + S + V.ing?
Negative: S + was/were + not + V.ing
คำบอกเวลาหลักๆ ก็จะมี while กับ when ค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการแปลประโยคได้ด้วยเช่นกัน เพื่อที่จะทราบได้ว่า เหตุการณ์ใดกำลังดำเนินอยู่และเหตุการณ์ใดที่น่าจะเกิดแทรกขึ้นมาค่ะ
ถ้าใครอ่านบล็อกของ Past Perfect แล้วก็จะเห็นว่า ทั้ง Past Perfect และ Past Cont. ที่ใช้คู่กับ Past Sim. นั้น จะเกิดขึ้นก่อน Past Sim. ทั้งสองตัวค่ะ แต่Past Perfect เกิดก่อนและจบไปแล้ว Past Sim. ถึงเกิดตาม ส่วน Past Cont. นี้เกิดก่อนและกำลังดำเนินอยู่ Past Sim. จะเกิดแทรกขึ้นมาค่ะ
Past Perfect Tense
การใช้กาลเวลานี้ จะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสมบูรณ์แล้วในอดีตและจบลงไปแล้ว ถ้าใครเกิดคำถามในใจว่า อ้าว! แล้วมันต่างกับ Past Simple ยังไง เพราะ Past Simple ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและได้จบลงไปแล้วเหมือนกัน
ก่อนที่จะบอกความแตกต่างให้นั้น ขอให้ทุกคนเข้าใจให้ตรงกันก่อนค่ะ ว่าคุณลูกทั้งสี่คนคือ น้องซิม (Simple) น้องคอนท์ (Continuous) น้องเพอร์ (Perfect) และน้องเพอร์คอนท์ (Perfect Cont.) นั้น มีช่วงระยะเวลาสั้น-ยาว เรียงลำดับกันอยู่แล้ว คือซิมจะมีการกระทำที่สั้นที่สุด คอนท์จะยาวกว่าซิม คือมีการกระทำต่อเนื่องแต่ก็ไม่ได้นานเท่าเพอร์ คือเพอร์จะยาวกว่านานกว่า ส่วนเพอร์คอนท์นั้นก็จะยาวกว่าเพอร์ และเป็นตัวที่มีการกระทำกริยาที่นานที่สุด
เพราะฉะนั้น ความแตกต่างของ Past Perfect กับ Past Simple คือ ระยะเวลาในการกระทำกริยาของPerfect จะยาวกว่า เท่านี้ค่ะ
ซึ่งสองกาลเวลานี้ สามารถใช้คู่กันได้ โดยที่ Past Perfect เป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อน และ Past Simple จะเกิดตามมาภายหลังค่ะ
รู้จักการใช้ไปแล้วก็มาดูโครงสร้างกันนะคะ
Positive: S + had + V.3
Question (Interrogative): Had + S+ V.3?
Negative: S + had + not + V.3
ส่วนคำบอกเวลาใน Tense นี้นั้นก็จะเป็นพวกที่บอกลำดับเวลาก่อนหลังเช่น when , before , after , until , as soon as ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอาศัยการแปลความหมายประโยคได้ด้วยค่ะว่าเหตุการณ์ไหนมาก่อนหรือหลัง
จึงจะสามารถใช้กาลเวลาได้ถูกต้องค่ะ
สรุปว่า สำหรับกาลเวลานี้ ถ้าสามารถแปลประโยคได้จะดีที่สุดค่ะ :)
ก่อนที่จะบอกความแตกต่างให้นั้น ขอให้ทุกคนเข้าใจให้ตรงกันก่อนค่ะ ว่าคุณลูกทั้งสี่คนคือ น้องซิม (Simple) น้องคอนท์ (Continuous) น้องเพอร์ (Perfect) และน้องเพอร์คอนท์ (Perfect Cont.) นั้น มีช่วงระยะเวลาสั้น-ยาว เรียงลำดับกันอยู่แล้ว คือซิมจะมีการกระทำที่สั้นที่สุด คอนท์จะยาวกว่าซิม คือมีการกระทำต่อเนื่องแต่ก็ไม่ได้นานเท่าเพอร์ คือเพอร์จะยาวกว่านานกว่า ส่วนเพอร์คอนท์นั้นก็จะยาวกว่าเพอร์ และเป็นตัวที่มีการกระทำกริยาที่นานที่สุด
เพราะฉะนั้น ความแตกต่างของ Past Perfect กับ Past Simple คือ ระยะเวลาในการกระทำกริยาของPerfect จะยาวกว่า เท่านี้ค่ะ
ซึ่งสองกาลเวลานี้ สามารถใช้คู่กันได้ โดยที่ Past Perfect เป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อน และ Past Simple จะเกิดตามมาภายหลังค่ะ
รู้จักการใช้ไปแล้วก็มาดูโครงสร้างกันนะคะ
Positive: S + had + V.3
Question (Interrogative): Had + S+ V.3?
Negative: S + had + not + V.3
ส่วนคำบอกเวลาใน Tense นี้นั้นก็จะเป็นพวกที่บอกลำดับเวลาก่อนหลังเช่น when , before , after , until , as soon as ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอาศัยการแปลความหมายประโยคได้ด้วยค่ะว่าเหตุการณ์ไหนมาก่อนหรือหลัง
จึงจะสามารถใช้กาลเวลาได้ถูกต้องค่ะ
สรุปว่า สำหรับกาลเวลานี้ ถ้าสามารถแปลประโยคได้จะดีที่สุดค่ะ :)
Thursday, July 19, 2012
วิธีการสังเกตข้อสอบปรนัยเรื่อง Noun and Pronoun
มาเริ่มกันที่เรื่องคำนามกันก่อนนะคะ สำหรับเรื่องคำนามนี้ จริงๆแล้วค่อนข้างกว้าง แต่หลักๆที่ต้องรู้คือ คำนามที่เป็นเอกพจน์ ถ้าจะทำให้เป็นพหูพจน์มีกฏอย่างไรบ้าง หรือคำนามตัวไหนที่เป็นคำนามนับได้ หรือเป็นคำนามนับไม่ได้บ้าง เนื่องจากคำนามที่นับไม่ได้นั้นไม่สามารถทำให้เป็น พหูพจน์ ได้ นั่นหมายถึงว่า ห้ามมีการเติม -s หรือ -es ใดๆทั้งสิ้น (ในกรณีถ้ามีตัวเลือกลวงเรา โดยเอาคำนามนับไม่ได้มาเติม - s เราก็จะรู้ทันทีว่าตัวเลือกข้อนั้นผิด)
เรื่องคำนามนับได้ที่มีพจน์เป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ และคำนามนับไม่ได้ จะเชื่อมโยงกับเรื่องการสังเกตคำเหล่านี้ค่ะ เช่น There is, There are, many, much, some เป็นต้น
เช่นทั้ง There is, There are นั้นแปลว่า "มี" เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่
There is + นามนับได้เอกพจน์ และ คำนามนับไม่ได้
There are + นามนับได้พหูพจน์
many, much แปลว่า "มาก" เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่
many + นามนับได้พหูพจน์
much + นามนับไม่ได้
some แปลว่า "บาง,บ้าง" นามที่ตามหลัง some จะเป็น คำนามนับได้พหูพจน์ และ คำนามนับไม่ได้
เพราะฉะนั้น นอกจากจะมีความรู้เรื่องชนิดและพจน์ของคำนามแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องรู้ด้วยค่ะว่า
นามที่ตามหลังคำเหล่านั้นต้องเป็นคำนามประเภทไหน พจน์ไหน
ส่วนเรื่องคำสรรพนาม สังเกตตำแหน่ง และอาจจะต้องใช้ความสามารถในการแปลบ้าง (เท่าที่คิดนะคะ ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ)
Subject Pron. อยู่หน้ากริยา
Object Pron. อยู่หลังกริยา
Possessive Pron. ตำแหน่งจะอยู่หน้าหรือหลังกริยาก็ได้ค่ะ แต่สำหรับตัวนี้ ให้ดูในประโยคก่อนหน้า (ถ้ามี) ที่เกี่ยวกับการแสดงความเป็นเจ้าของอยู่ แต่ถ้าประโยคก่อนหน้าประโยคโจทย์ไม่มีคำใดๆที่บอกถึงการแสดงความเป็นเจ้าของเลย ต้องอาศัยการแปลความหมายได้ช่วยในการตัดสินใจที่จะตอบด้วยค่ะ
(นี่สรุปจากแบบฝึกหัดกับตัวอย่างในหนังสือมานะคะ)
Reflexive Pron. ตำแหน่งอยู่หลังกริยา หรือหลังคำว่า by ค่ะ (นี่สรุปจากแบบฝึกหัดกับตัวอย่างในหนังสือเหมือนกันค่ะ)
ก็ตามนี้เลยแล้วกันนะค้า สู้ๆค่า :)
เรื่องคำนามนับได้ที่มีพจน์เป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ และคำนามนับไม่ได้ จะเชื่อมโยงกับเรื่องการสังเกตคำเหล่านี้ค่ะ เช่น There is, There are, many, much, some เป็นต้น
เช่นทั้ง There is, There are นั้นแปลว่า "มี" เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่
There is + นามนับได้เอกพจน์ และ คำนามนับไม่ได้
There are + นามนับได้พหูพจน์
many, much แปลว่า "มาก" เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่
many + นามนับได้พหูพจน์
much + นามนับไม่ได้
some แปลว่า "บาง,บ้าง" นามที่ตามหลัง some จะเป็น คำนามนับได้พหูพจน์ และ คำนามนับไม่ได้
เพราะฉะนั้น นอกจากจะมีความรู้เรื่องชนิดและพจน์ของคำนามแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องรู้ด้วยค่ะว่า
นามที่ตามหลังคำเหล่านั้นต้องเป็นคำนามประเภทไหน พจน์ไหน
ส่วนเรื่องคำสรรพนาม สังเกตตำแหน่ง และอาจจะต้องใช้ความสามารถในการแปลบ้าง (เท่าที่คิดนะคะ ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ)
Subject Pron. อยู่หน้ากริยา
Object Pron. อยู่หลังกริยา
Possessive Pron. ตำแหน่งจะอยู่หน้าหรือหลังกริยาก็ได้ค่ะ แต่สำหรับตัวนี้ ให้ดูในประโยคก่อนหน้า (ถ้ามี) ที่เกี่ยวกับการแสดงความเป็นเจ้าของอยู่ แต่ถ้าประโยคก่อนหน้าประโยคโจทย์ไม่มีคำใดๆที่บอกถึงการแสดงความเป็นเจ้าของเลย ต้องอาศัยการแปลความหมายได้ช่วยในการตัดสินใจที่จะตอบด้วยค่ะ
(นี่สรุปจากแบบฝึกหัดกับตัวอย่างในหนังสือมานะคะ)
Reflexive Pron. ตำแหน่งอยู่หลังกริยา หรือหลังคำว่า by ค่ะ (นี่สรุปจากแบบฝึกหัดกับตัวอย่างในหนังสือเหมือนกันค่ะ)
ก็ตามนี้เลยแล้วกันนะค้า สู้ๆค่า :)
Wednesday, July 18, 2012
หลักการทำแบบฝึกหัด/ข้อสอบส่วนคำศัพท์
การทำข้อสอบส่วนของคำศัพท์
ส่วนใหญ่ จะวัดในเรื่อง
1. ความหมายของคำศัพท์ที่เติมลงในประโยคแล้ว
ทำให้ประโยคมีความหมายมากที่สุด
ซึ่งโจทย์ต้องการวัดความรู้ในเรื่องความหมายคำศัพท์เพียงอย่างเดียว เช่น
__________
is essential for our body system.
ตรงช่องว่างที่เว้นว่างไว้ เป็นตำแหน่งของ
“ประธาน” (Subject)
ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ชนิดของคำที่ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยคคือ “คำนาม” (Noun) และในตัวเลือกจะมีแต่ตัวเลือกที่ทำหน้าที่เป็นคำนามเท่านั้น
a. Oxygen b. Acid c. Light d.
Fire
ตัวเลือกทั้ง 4 ข้อ ทำหน้าที่เป็นคำนามนับไม่ได้ทั้งหมด
ซึ่งต้องใช้กับกริยารูปเอกพจน์ ซึ่งในประโยคเป็นคำว่า “is” เป็นส่วนที่โจทย์กำหนดมาให้ถูกต้องอยู่แล้ว
สิ่งที่ต้องเข้าใจคือ ความหมายของประโยคโจทย์และตัวเลือกคืออะไร
จึงจะสามารถเลือกเติมคำได้ถูกต้อง ซึ่งคำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ a.
2. ความหมายของคำศัพท์ และ ชนิดของคำศัพท์ เช่น
Acid
is __________ for our body system.
ตรงช่องว่างที่เว้นว่างไว้ เป็นตำแหน่งของ
“คำคุณศัพท์” (Adjective) ข้อสังเกต คือ คำคุณศัพท์จะอยู่หลัง v.to be หรือบางครั้ง อยู่หลัง linking v. แต่ในกรณีนี้ ให้สังเกตที่ v. to be คือ is
หมายเหตุ คำอธิบายนี้
ไม่รวมถึงการใช้คำคุณศัพท์หรือการใช้V. to be ในกรณีอื่นๆ
ซึ่งอาจารย์ใช้การอธิบายในทำโจทย์ตัวอย่างเท่านั้น หมายถึงว่า
เด็กๆต้องไปศึกษาเรื่องการใช้และตำแหน่งของคำคุณศัพท์ และการใช้v. to be ในแต่ละtense และ voice เพิ่มเติม
a. useful b. dangerous c. bravely d.
usefully
จากตัวเลือกทั้ง 4 ข้อ จะเห็นได้ว่า ตัวเลือกข้อ c และ d ชนิดของคำคือ คำวิเศษณ์ (Adverb) เพราะฉะนั้น
จะสามารถตัดตัวเลือกสองข้อนี้ออกไปได้เลย ซึ่งตัวเลือกข้อ a และ b ทำหน้าที่เป็น คำคุณศัพท์ทั้งสองคำ
ซึ่งก่อนจะเติมคำลงไปในประโยคให้ถูกต้อง
จะต้องทราบก่อนว่าประโยคโจทย์และตัวเลือกที่เหลืออยู่ 2 ข้อ หมายถึงอะไร
ซึ่งคำตอบที่ถูกคือ ข้อ b.
3. ความหมายของคำศัพท์ ชนิดของคำศัพท์ และไวยากรณ์ เช่น
Junk
food can ___________ the people’s health.
ตรงช่องว่าง จะต้องเติม “V. infinitive” สังเกตได้จากคำว่า can ซึ่งเป็น Modal v. หรือ v. ช่วยอีกชนิดหนึ่ง ซึ่ง Modal v. ต้องตามด้วย V.infinitive
a. go b. serious c. damage d. damages
จากตัวเลือกทั้ง 4 ข้อ จะเห็นได้ว่า สามารถตัดข้อ b. และ d. ออกไปได้เลย เนื่องจากข้อ b.เป็นคำคุณศัพท์และ damage เติม s ไม่ใช่ v.infinitive แต่เป็นกริยาช่องที่ 1 ที่เติม s เนื่องจากประธานของประโยค (Junk food) เป็นคำนามนับไม่ได้
ซึ่งถ้าใครไม่ทราบกฎการใช้กริยาที่ตามหลัง modal v. (can) ก็อาจจะถูกลวงให้ตอบข้อd. ได้ ก็จะเหลือข้อ a. และ c. ซึ่งก็ต้องมาวัดกันในเรื่องของความหมาย
ซึ่งข้อที่ถูกต้องคือข้อ c.
สรุปคือ ในการทำข้อสอบคำศัพท์
การรู้คำศัพท์มากจะได้เปรียบในการทำข้อสอบ แต่ถ้ารู้คำศัพท์มากแต่ไม่รู้ชนิดของคำ
ในบางครั้งก็อาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ และถ้ารู้คำศัพท์มาก รู้ชนิดของคำ
แต่ไม่มีความรู้เรื่องไวยากรณ์ก็ทำให้เกิดความผิดพลาดได้เช่นกัน
หมายเหตุอีกรอบ
ข้อมูลเหล่านี้ที่สรุปจากประสบการณ์ที่ได้สอนมา ซึ่งในข้อ 2 ที่เป็นการวัดความหมายของคำศัพท์ และ ชนิดของคำ อาจจะเพิ่มเติมหลังชนิดของคำไว้ว่า
“หรือไวยากรณ์” ไว้ด้วย เพราะในบางครั้ง
โจทย์อาจจะกำหนดมาเพื่อวัดความหมายคำศัพท์และไวยากรณ์ไว้เพียงสองอย่างเท่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้น การสรุปให้เห็นคร่าวๆ นี้
มีจุดประสงค์เพื่อให้เด็กๆเห็นว่า การที่จะทำข้อสอบในส่วนของคำศัพท์ได้นั้น
จะต้องมีความรู้อะไรบ้าง
Subscribe to:
Posts (Atom)