ไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้วนะจ๊ะ เรามาต่อเนื้อหากันเลยดีกว่านะคะ :)
Non - finite Verb ความหมายที่เป็นที่รู้จักคือ "กริยาไม่แท้"
คำว่า Non แปลว่า ไม่ เมื่อมาอยู่ข้างหน้าคำว่า finite จึงแปลแบบนี้นะคะ
แต่ถ้าจะให้แปลตรงตัว คือ "กริยาที่ไม่จำกัดขอบเขต" อธิบาย(ตามความคิดของบิ้ว)
ได้ว่า ตัวเค้าเองไม่ได้จำกัดขอบเขตว่าจะต้องเป็นกริยาเท่านัน ถึงแม้จะรูปเป็นกริยา
ก่อนจะไปอธิบายต่อว่า Non- finite V. นี้มีอะไรบ้าง บิ้วต้องบอกก่อนนะคะ ที่ต้อง
หมายเหตุในวงเล็บไว้ว่า เป็นความคิดของบิ้ว เพราะ บิ้วพยายามหาข้อมูลที่จะเอามาอธิบาย
ที่สามารถอ้างอิงให้เชื่อถือได้ ไม่เจอค่ะ แต่บิ้วก็พยายามโยงและเชื่อมให้ผู้อ่านนึกแล้ว
เข้าใจได้ ว่ามันคืออะไรนะคะ ก็แล้วแต่วิจารณญาณส่วนบุคคล ถ้าใครเห็นว่า สิ่งที่บิ้ววิเคราะห์
อาจจะไม่ถูกต้อง ก็แย้งได้นะคะ ยินดีรับฟังทุกอย่างค่ะ
ทีนี้มาดูกันนะคะ ว่า Non - finite V. มีอะไรบ้าง
ให้นึกเป็นครอบครัวแบบนี้อาจจะช่วยได้นะคะ
คือ คุณนอนไฟไนท์ (Non - finite) มีลูกอยู่ 3 คน คือ น้องอินวิททู (Infinitive with to) น้องเจอ (Gerund)
และน้องพาร์ (Participle) ซึ่งน้องพาร์เนี่ย มีลูกอีกสองคน คือ น้องเพรส (Present) กับน้องพาสท์ (Past)
มาดูลักษณะเด่นของเค้ากันค่ะ
น้องอินเนี่ย ต้องมี to นำหน้าตลอดค่ะ แล้วเค้าก็ชอบทำหน้าที่เป็นคำนามบ้าง หรืออาจจะทำหน้าที่เป็นส่วนขยายบ้าง ก็แล้วแต่สถานการณ์ไปนะคะ แต่จุดที่สังเกตแล้วรู้เลยว่า เป็นน้องอินแน่นอน คือเราจะเห็น to เดินนำหน้าน้องเค้ามาเสมอค่ะ
น้องเจอเนี่ย ต้องมี ing เดินตามหลังตลอดค่ะ และหน้าที่ที่เค้าทำตลอดคือ ทำหน้าที่เป็นคำนามค่ะ
ส่วนน้องพาร์เนี่ย เนื่องจากเค้ามีลูกสองคน ซึ่งลูกเค้ามีรูปร่างหน้าตาต่างกัน แต่ทำหน้าที่เหมือนกันคือ คำหน้าที่เป็น คำคุณศัพท์ (Adjective) ค่ะ เป็นหน้าที่ที่รับผิดชอบประจำเลย และเค้าชอบอยู่หน้าคำนาม
ส่วนเรื่องรูปร่างหน้าตาเนี่ย น้องเพรส พา (Present Participle) จะมี ing ตามหลังตลอดเลยค่ะ
แต่ถ้าเป็นน้องพาสท์ พาร์ (Past Participle) บางครั้งก็มี ed ตามหลัง บางครั้งก็ไปศัลยกรรมใหม่ คือเปลี่ยนรูปไปเลย ซึ่งจริงๆแล้ว การมี ed หรือ การไปศัลยกรรม ก็อยู่ภายใต้ชื่อที่คนอื่นเรียกเค้าว่า V.3 ค่ะ
หมดแล้วค่ะ สำหรับ Non - finite V. เดี๋ยวบิ้วสรุปสั้นๆ ให้อีกครั้งนะค้า
การสังเกตว่ากริยาตัวไหน เป็น Non - finite V.
1. มี to นำหน้า
2. เป็นกริยาเติม ing แต่อยู่หน้าสุดของประโยค หรือ อยู่ท้ายประโยค และต้องไม่มี v. to be นำหน้า
3. เป็นกริยาเติม ing หรือ V.3 และจะอยู่หน้าคำนาม โดยที่ไม่มี V.to be หรือ V. to have นำหน้า
ตามนี้เลยนะค้า มีข้อสงสัยโพสต์ถามทิ้งไว้เลยจ่ะ :)
ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านนะค้า ถ้าเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็แบ่งปันความรู้ให้คนอื่นๆด้วยนะค้า
สิ่งต่างๆ ที่จะได้นำเสนอนี้ เกิดขึ้นจากวิธีการคิดของผู้เขียนด้วยตนเอง มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้อ่านได้มีสูตรในการจำโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาแบบง่ายๆ หรือ วิธีการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในเนื้อหาด้านอื่นๆ ถ้าผู้อ่านท่านใดมีความประสงค์จะนำข้อมูลนี้ไปเผยแพร่ ผู้เขียนก็มีความยินดีและดีใจที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้ทุกๆคน ให้มีหลักการที่จะช่วยให้การเรียนรู้ภาษาอังกฤษง่ายขึ้น :) ขอบคุณทุกๆคนมากนะคะ ขอให้ชีวิตมีความสุขในทุกๆวันค่ะ
Sunday, March 18, 2012
Saturday, March 17, 2012
Verb (กริยา) ตอนที่ 1
พูดถึงคำว่า Verb (อ่านว่า เวิร์บ) ซึ่งแปลว่า "กริยา" เมื่อไหร่ คนส่วนใหญ่ก็มักจะพูดเหมือนกันว่า "กริยา คือ การกระทำ" แต่ถ้าใครที่ค้นคว้ามากขึ้นอีกนิดนึง ก็จะเห็นว่า ยังมีคำกริยาบางกลุ่มที่มีรูปเป็นกริยาก็จริงแต่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกริยา คือไม่ได้ทำหน้าที่ในการกระทำ เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นคำนี้ปุ๊บ ต้องนึกในใจไปด้วยเลยค่ะว่า เราต้องระวังว่า "กริยาบางตัวก็ไม่ได้ทำหน้าที่ในการกระทำ"
ลองมาแปลให้เข้าใจกันอีกครั้งนะคะ
Verb แปลว่า กริยา ซึ่งจะมีการกระทำ (Action Verb) หรือ ไม่มีการกระทำ (Non - action Verb) ก็ได้
ส่วนที่ไม่มีการกระทำนั้น ถ้าเกิดคำถามในใจว่า แล้วถ้าไม่มีการกระทำ แล้วเค้าทำหน้าที่เป็นอะไรล่ะ?
คำตอบก็คือ เค้าทำหน้าที่เป็นส่วนขยายบ้าง ทำหน้าที่ในการช่วยขยายความประโยคบ้าง แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ในการกระทำแน่นอน ก็ต้องนึกในใจให้ได้แบบนี้ก่อนทุกครั้งเวลาเห็นคำที่มีรูปเป็นกริยา อย่าเหมารวมว่าเป็นกริยาทั้งหมดนะคะ ต้องดูดีๆว่า คำกริยานั้น ทำหน้าที่ในการกระทำจริงหรือเปล่า ก็ต้องสังเกตให้เป็น
สรุปก่อนจะไปเนื้อหาต่อไป คือ กริยา แบ่งออกได้ 2 กลุ่ม คือ
1. Action Verb - มีการกระทำ คือ ทำหน้าที่เป็นกริยาในประโยค
2. Non - action Verb - ไม่มีการกระทำ คือ มีรูปร่างหน้าตาเป็นกริยา แต่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกริยาในประโยค
ที้นี้ ก็จะมาดูกันว่า มีกริยาประเภทใดบ้างที่แสดงการกระทำ หรือไม่แสดงการกระทำแต่มีรูปเป็นกริยา
กริยาประเภทที่แสดงการกระทำ มีอยู่ 3 ตัวคือ
1. Transitive Verb - ตัว transitive เอง เค้าแปลว่า "สกรรมกริยา"
(http://th.w3dictionary.org/index.php?q=transitive)
แปลไทยให้เป็นไทยอีกทีก็แปลว่า"กริยาที่ต้องการกรรมมารองรับ" เช่น I meet. ฉันพบ เราก็จะรู้สึกตะขิดตะขวงในใจว่า อ่าว! พูดจบแล้วหลอ แล้วพบใครหรืออะไรล่ะ?? เพราะฉะนั้น กริยาคำว่า "พบ" meet นี้ ต้องการกรรมมารองรับ ว่าพบเจอใครหรือสิ่งอื่นใด ถ้าเราลองเติมกรรมให้ประโยคนี้ เช่น I meet Jane. ฉันพบเจน ใจความก็จะสมบูรณ์
อ่านถึงตรงนี้แล้วเกิดคำถามในใจว่า แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่ากริยาตัวไหนต้องการกรรมหรือไม่ต้องการกรรมมารองรับ ให้ความรู้สึกตัวเองบอกเองว่า เอ๊! อ่านแล้วใจความมันสมบูรณ์มั๊ย แปลแค่ประธานกับกริยาแล้วมันโอเครึยัง หรืออีกวิธีนึงคือ ให้สังเกตในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ (บางเล่ม) จะมีบอกว่า กริยาตัวนี้ ต้องการกรรม หรือไม่ต้องการกรรม บางตัวก็เป็นได้ทั้งสองอย่าง อันนี้ต้องอาศัยความคุ้นเคยในการใช้และความสามารถในการแปลด้วย
2. Intransitive Verb - ตัวของ intransitive ก่อนจะไปแปล ให้มาดูเรื่องของ prefix คำว่า in- กันก่อน
in เมื่อทำหน้าที่เป็น prefix แปลว่า ไม่ ให้ความหมายในทางตรงกันข้าม(ทางลบ) เพราะฉะนั้น Intransitive จึงหมายถึง กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารองรับ (อกรรมกริยา) http://th.w3dictionary.org/index.php?q=Intransitive
หลักการจะคล้ายๆ กับtransitive คือ อ่านประโยคแปลออกมาแล้ว ถ้ามีแค่ประธานกับกริยา แล้วรู้สึกจบในความรู้สึกมั๊ย คำว่าจบมั๊ย ไม่ใช่จบประโยค แ่ต่หมายถึงอ่านแล้วแปลแล้ว เราได้ใจความมั๊ยว่า ประโยคเค้ากำลังพูดถึงอะไร เช่น I run. ฉันวิ่ง อ่านแค่นี้รู้และเข้าใจรึยัง ว่าประธานทำอะไร จำเป็นต้องมีกรรมมารองรับมั๊ย ส่วนเรื่องการตรวจสอบในพจนานุกรมภาษาอังกฤษก็ขึ้นอยู่กับความสนใจของแต่ละคนแล้วนะคะ แต่ถ้าใครชอบใช้ความรู้ึสึกส่วนตัวก็ตามนั้น หรือถ้าใครใช้แล้วยังไม่แม่น ก็แนะนำให้ตรวจสอบจากแหล่งข้อมูลหลายๆที่ เพื่อความแม่นยำในความถูกต้อง และเพื่อความจำและความเข้าใจในระยะยาวของตัวเราเองนะคะ
3. Finite Verb - ตัว finite เอง แปลว่า มีขอบเขต เมื่อรวมกับ verb แล้วก็จะแปลตรงตัวว่า กริยาที่มีขอบเขต แต่จริงๆแล้ว เจ้าFinite Verb นี้ คนทั่วๆไปจะรู้จักกันในคำนิยามว่า "กริยาแท้" ถ้าจะให้บิ้วลองโยงด้วยความคิดของตัวเองว่า คำนิยามทั่วไป กับ ความหมายตรงตัวของคำนี้มันเกี่่ยวข้องกันยังไง บิ้วก็คิดได้ประมาณนี้ค่ะว่า กริยาที่มีขอบเขตนั้น มันมีขอบเขตที่เป็นได้เพียง "กริยา" ถูกจำกัดขอบเขตเป็นได้แค่กริยาเท่านั้น จึงถือว่าเป็นกริยาแท้ ทีนี้คำว่า"กริยาแท้" ต้องแปลไปอีกว่า กริยาคือการกระทำ แท้คือจริง เพราะฉะนั้น กริยาแท้ คือ กระทำจริงๆ
ถ้าเข้าใจย่อหน้าบนนี้แล้ว ถ้าถามว่า อ้าวแล้วจะรู้ได้ไงว่ากริยาตัวไหนคือ finite v. บอกง่ายๆ ค่ะ v.อะไรก็ตามค่ะ ที่มันอยู่ใน tenseหรือ voice ทั้งหมด tense ทั้ง 12 tenses หรือ Active Voice กับ Passive Voice นั่นแหละค่ะ ถ้าใครจะทวนเรื่อง tense ขอให้ย้อนกลับไปอ่านบล็อกอันแรกของบิ้วได้เลยนะคะ ส่วนเรื่อง Active กับ Passive คงจะ้ต้องรอไปก่อนค่ะ ถ้าใครรอไม่ไหว ก็ค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตหรืออ่านจากหนังสือก่อนได้เลยนะคะ :)
สำหรับกริยาที่มีการกระทำก็จะหมดเพียงเท่านี้นะคะ
ต่อไปก็จะเป็นกริยาที่ไม่มีการกระทำ เพียงแต่มีรูปเป็นกริยา ในที่นี้มีอยู่ 2 ตัว
คือ Helping V. (Auxiliary V.) คือกริยาช่วย และ Non - finite V.
ซึ่งเนื้อหาของ กริยาช่วยนั้น บิ้วได้เขียนไปแล้วในบล็อกที่มีชื่อว่า "กริยาช่วยมีอะไรบ้างน้อ"
หรือถ้าใครยังไม่ค่อยกระจ่างความหมายของ Finite V. ก็ให้กลับไปอ่านบล็อกแรกๆ (จำไม่ได้ว่าอันที่เท่าไหร่ แต่มีชื่อบล็อกว่า "ตัวนั้นก็กริยา ตัวนี้ก็กริยา" ดูแล้วกันนะคะ ถ้ามีปัญหาหรือข้อสงสัย สอบถามได้เลยนะคะ แล้วบิ้วจะเข้ามาตอบให้ค่ะ :)
เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ก็จะขอจบเื่รื่องกริยาตอนที่ 1 ไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวตอนที่สองจะเป็นเนื้อหาของ Non - finite V. ค่ะ
ขอบคุณทุกๆคนมากนะค้า ที่เข้ามาเยี่ยมชม
ลองมาแปลให้เข้าใจกันอีกครั้งนะคะ
Verb แปลว่า กริยา ซึ่งจะมีการกระทำ (Action Verb) หรือ ไม่มีการกระทำ (Non - action Verb) ก็ได้
ส่วนที่ไม่มีการกระทำนั้น ถ้าเกิดคำถามในใจว่า แล้วถ้าไม่มีการกระทำ แล้วเค้าทำหน้าที่เป็นอะไรล่ะ?
คำตอบก็คือ เค้าทำหน้าที่เป็นส่วนขยายบ้าง ทำหน้าที่ในการช่วยขยายความประโยคบ้าง แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ในการกระทำแน่นอน ก็ต้องนึกในใจให้ได้แบบนี้ก่อนทุกครั้งเวลาเห็นคำที่มีรูปเป็นกริยา อย่าเหมารวมว่าเป็นกริยาทั้งหมดนะคะ ต้องดูดีๆว่า คำกริยานั้น ทำหน้าที่ในการกระทำจริงหรือเปล่า ก็ต้องสังเกตให้เป็น
สรุปก่อนจะไปเนื้อหาต่อไป คือ กริยา แบ่งออกได้ 2 กลุ่ม คือ
1. Action Verb - มีการกระทำ คือ ทำหน้าที่เป็นกริยาในประโยค
2. Non - action Verb - ไม่มีการกระทำ คือ มีรูปร่างหน้าตาเป็นกริยา แต่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกริยาในประโยค
ที้นี้ ก็จะมาดูกันว่า มีกริยาประเภทใดบ้างที่แสดงการกระทำ หรือไม่แสดงการกระทำแต่มีรูปเป็นกริยา
กริยาประเภทที่แสดงการกระทำ มีอยู่ 3 ตัวคือ
1. Transitive Verb - ตัว transitive เอง เค้าแปลว่า "สกรรมกริยา"
(http://th.w3dictionary.org/index.php?q=transitive)
แปลไทยให้เป็นไทยอีกทีก็แปลว่า"กริยาที่ต้องการกรรมมารองรับ" เช่น I meet. ฉันพบ เราก็จะรู้สึกตะขิดตะขวงในใจว่า อ่าว! พูดจบแล้วหลอ แล้วพบใครหรืออะไรล่ะ?? เพราะฉะนั้น กริยาคำว่า "พบ" meet นี้ ต้องการกรรมมารองรับ ว่าพบเจอใครหรือสิ่งอื่นใด ถ้าเราลองเติมกรรมให้ประโยคนี้ เช่น I meet Jane. ฉันพบเจน ใจความก็จะสมบูรณ์
อ่านถึงตรงนี้แล้วเกิดคำถามในใจว่า แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่ากริยาตัวไหนต้องการกรรมหรือไม่ต้องการกรรมมารองรับ ให้ความรู้สึกตัวเองบอกเองว่า เอ๊! อ่านแล้วใจความมันสมบูรณ์มั๊ย แปลแค่ประธานกับกริยาแล้วมันโอเครึยัง หรืออีกวิธีนึงคือ ให้สังเกตในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ (บางเล่ม) จะมีบอกว่า กริยาตัวนี้ ต้องการกรรม หรือไม่ต้องการกรรม บางตัวก็เป็นได้ทั้งสองอย่าง อันนี้ต้องอาศัยความคุ้นเคยในการใช้และความสามารถในการแปลด้วย
2. Intransitive Verb - ตัวของ intransitive ก่อนจะไปแปล ให้มาดูเรื่องของ prefix คำว่า in- กันก่อน
in เมื่อทำหน้าที่เป็น prefix แปลว่า ไม่ ให้ความหมายในทางตรงกันข้าม(ทางลบ) เพราะฉะนั้น Intransitive จึงหมายถึง กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารองรับ (อกรรมกริยา) http://th.w3dictionary.org/index.php?q=Intransitive
หลักการจะคล้ายๆ กับtransitive คือ อ่านประโยคแปลออกมาแล้ว ถ้ามีแค่ประธานกับกริยา แล้วรู้สึกจบในความรู้สึกมั๊ย คำว่าจบมั๊ย ไม่ใช่จบประโยค แ่ต่หมายถึงอ่านแล้วแปลแล้ว เราได้ใจความมั๊ยว่า ประโยคเค้ากำลังพูดถึงอะไร เช่น I run. ฉันวิ่ง อ่านแค่นี้รู้และเข้าใจรึยัง ว่าประธานทำอะไร จำเป็นต้องมีกรรมมารองรับมั๊ย ส่วนเรื่องการตรวจสอบในพจนานุกรมภาษาอังกฤษก็ขึ้นอยู่กับความสนใจของแต่ละคนแล้วนะคะ แต่ถ้าใครชอบใช้ความรู้ึสึกส่วนตัวก็ตามนั้น หรือถ้าใครใช้แล้วยังไม่แม่น ก็แนะนำให้ตรวจสอบจากแหล่งข้อมูลหลายๆที่ เพื่อความแม่นยำในความถูกต้อง และเพื่อความจำและความเข้าใจในระยะยาวของตัวเราเองนะคะ
3. Finite Verb - ตัว finite เอง แปลว่า มีขอบเขต เมื่อรวมกับ verb แล้วก็จะแปลตรงตัวว่า กริยาที่มีขอบเขต แต่จริงๆแล้ว เจ้าFinite Verb นี้ คนทั่วๆไปจะรู้จักกันในคำนิยามว่า "กริยาแท้" ถ้าจะให้บิ้วลองโยงด้วยความคิดของตัวเองว่า คำนิยามทั่วไป กับ ความหมายตรงตัวของคำนี้มันเกี่่ยวข้องกันยังไง บิ้วก็คิดได้ประมาณนี้ค่ะว่า กริยาที่มีขอบเขตนั้น มันมีขอบเขตที่เป็นได้เพียง "กริยา" ถูกจำกัดขอบเขตเป็นได้แค่กริยาเท่านั้น จึงถือว่าเป็นกริยาแท้ ทีนี้คำว่า"กริยาแท้" ต้องแปลไปอีกว่า กริยาคือการกระทำ แท้คือจริง เพราะฉะนั้น กริยาแท้ คือ กระทำจริงๆ
ถ้าเข้าใจย่อหน้าบนนี้แล้ว ถ้าถามว่า อ้าวแล้วจะรู้ได้ไงว่ากริยาตัวไหนคือ finite v. บอกง่ายๆ ค่ะ v.อะไรก็ตามค่ะ ที่มันอยู่ใน tenseหรือ voice ทั้งหมด tense ทั้ง 12 tenses หรือ Active Voice กับ Passive Voice นั่นแหละค่ะ ถ้าใครจะทวนเรื่อง tense ขอให้ย้อนกลับไปอ่านบล็อกอันแรกของบิ้วได้เลยนะคะ ส่วนเรื่อง Active กับ Passive คงจะ้ต้องรอไปก่อนค่ะ ถ้าใครรอไม่ไหว ก็ค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตหรืออ่านจากหนังสือก่อนได้เลยนะคะ :)
สำหรับกริยาที่มีการกระทำก็จะหมดเพียงเท่านี้นะคะ
ต่อไปก็จะเป็นกริยาที่ไม่มีการกระทำ เพียงแต่มีรูปเป็นกริยา ในที่นี้มีอยู่ 2 ตัว
คือ Helping V. (Auxiliary V.) คือกริยาช่วย และ Non - finite V.
ซึ่งเนื้อหาของ กริยาช่วยนั้น บิ้วได้เขียนไปแล้วในบล็อกที่มีชื่อว่า "กริยาช่วยมีอะไรบ้างน้อ"
หรือถ้าใครยังไม่ค่อยกระจ่างความหมายของ Finite V. ก็ให้กลับไปอ่านบล็อกแรกๆ (จำไม่ได้ว่าอันที่เท่าไหร่ แต่มีชื่อบล็อกว่า "ตัวนั้นก็กริยา ตัวนี้ก็กริยา" ดูแล้วกันนะคะ ถ้ามีปัญหาหรือข้อสงสัย สอบถามได้เลยนะคะ แล้วบิ้วจะเข้ามาตอบให้ค่ะ :)
เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ก็จะขอจบเื่รื่องกริยาตอนที่ 1 ไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวตอนที่สองจะเป็นเนื้อหาของ Non - finite V. ค่ะ
ขอบคุณทุกๆคนมากนะค้า ที่เข้ามาเยี่ยมชม
Thursday, March 15, 2012
Adverb (คำกริยาวิเศษณ์)
ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหา มาดูความหมายกันก่อนนะคะ ว่า Adverb คืออะไร ทำหน้าที่อะไร และำตำแหน่งของเค้าอยู่ตรงไหน
คือขอนอกเรื่องนิดนึงค่ะ ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้ แล้วถ้าสังเกตว่า ส่วนใหญ่เวลาบิ้วอ้างถึงคำเหล่านี้ บิ้วจะไม่ค่อยเรียกมัน จะเรียกแทนว่า"เค้า" เพราะบิ้วอยากให้เกียรติถึงสิ่งที่เราเขียนอยู่น่ะค่ะ โอเคนะคะ
Adverb คือ คำกริยาวิเศษณ์ ทำหน้าที่อยู่ 3 อย่างหลักๆ คือ ขยายกริยา ขยายคำคุณศัพท์ และ ขยายตัวเค้าเอง ตำแหน่งที่อยู่ก็ขอกล่าวเรียงจากหน้าที่เลยนะคะ อยู่หลังกริยาที่ไปขยาย อยู่หน้าคำคุณศัพท์ อยู่หน้าคำกริยาวิเศษณ์อีกคำนึง และเพิ่มเิติมให้คือ อยู่ท้ายประโยคค่ะ
ทีนี้ก่อนจะไปถึงประเภท เราจะมาดูกันก่อนว่าที่มาที่ไปของadverb มาจากไหน
ที่มาของadverb ก็มาจาก adjective นั่นแหละค่ะ ที่พูดแบบนี้ เพราะก่อนที่จะกลายมาเป็น adverb ได้ เราต้องเอาคำมาจาก adjective ค่ะ โดยการเติม -ly ไว้ข้างหลัง adjective นั้น ซึ่งก็จะมีกฏในการเปลี่ยนadjective เป็น adverb นอกจากนี้ก็จะมีคำที่เป็นข้อยกเว้น คือคำคำเดียวสามารถเป็นได้ทั้ง adjective แล้วก็ adverb ไม่สามารถเติม -ly ได้ เพราะถ้าเติม-ly ไปแล้ว ความหมายจะเปลี่ยนทันที หรือ เป็นคำที่ไม่มีการใช้ในภาษาอังกฤษนะคะ (กฏเหล่านี้สามารถไปค้นหาข้อมูลใน google ได้เลยนะคะ)
ประเภทของadverb ก็สามารถแบ่งได้เป็นหลักๆ 5 ประเภท
1 Adverb of Manner - Manner หมายถึง ลักษณะท่าทาง หรือ กริยาท่าทาง ก็จะเป็นการตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า How
2 Adverb of Place - Place หมายถึง สถานที่ ก็จะเป็นการตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า where
3 Adverb of Time - Time หมายถึง เวลา ก็จะเป็นการตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า when
4 Adverb of Frequency- Frequency หมายถึง ความถี่,ความบ่อย ก็จะเป็นการตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า how often
5 Adverb of Degree - Degree ในที่นี้หมายถึง ความเข้มข้นหรือระัดับ ก็จะเป็นการตอบคำถามในลักษณะ ที่ถามที่เป็นลักษณะของ what extent การที่เขียนว่าตอบคำถามในลักษณะนี้อย่าเข้าใจว่า เป็นการตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำนี้นะคะ เวลาอ่าน อ่านให้หมด อ่านดีๆ อ่านทุกบรรทัด เพราะไม่ใช่ว่า เห็นทุกข้อเขียนเหมือนกันหมด ก็จะเหมารวมว่าเป็นข้อ 5 เหมือนกัน ระวังๆ หน่อยนะค้า เวลาอ่านอ่าจ่ะ ไม่งั้นจะเข้าใจผิดไปเลยน้า โอเคนะคะ
คือขอนอกเรื่องนิดนึงค่ะ ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้ แล้วถ้าสังเกตว่า ส่วนใหญ่เวลาบิ้วอ้างถึงคำเหล่านี้ บิ้วจะไม่ค่อยเรียกมัน จะเรียกแทนว่า"เค้า" เพราะบิ้วอยากให้เกียรติถึงสิ่งที่เราเขียนอยู่น่ะค่ะ โอเคนะคะ
Adverb คือ คำกริยาวิเศษณ์ ทำหน้าที่อยู่ 3 อย่างหลักๆ คือ ขยายกริยา ขยายคำคุณศัพท์ และ ขยายตัวเค้าเอง ตำแหน่งที่อยู่ก็ขอกล่าวเรียงจากหน้าที่เลยนะคะ อยู่หลังกริยาที่ไปขยาย อยู่หน้าคำคุณศัพท์ อยู่หน้าคำกริยาวิเศษณ์อีกคำนึง และเพิ่มเิติมให้คือ อยู่ท้ายประโยคค่ะ
ทีนี้ก่อนจะไปถึงประเภท เราจะมาดูกันก่อนว่าที่มาที่ไปของadverb มาจากไหน
ที่มาของadverb ก็มาจาก adjective นั่นแหละค่ะ ที่พูดแบบนี้ เพราะก่อนที่จะกลายมาเป็น adverb ได้ เราต้องเอาคำมาจาก adjective ค่ะ โดยการเติม -ly ไว้ข้างหลัง adjective นั้น ซึ่งก็จะมีกฏในการเปลี่ยนadjective เป็น adverb นอกจากนี้ก็จะมีคำที่เป็นข้อยกเว้น คือคำคำเดียวสามารถเป็นได้ทั้ง adjective แล้วก็ adverb ไม่สามารถเติม -ly ได้ เพราะถ้าเติม-ly ไปแล้ว ความหมายจะเปลี่ยนทันที หรือ เป็นคำที่ไม่มีการใช้ในภาษาอังกฤษนะคะ (กฏเหล่านี้สามารถไปค้นหาข้อมูลใน google ได้เลยนะคะ)
ประเภทของadverb ก็สามารถแบ่งได้เป็นหลักๆ 5 ประเภท
1 Adverb of Manner - Manner หมายถึง ลักษณะท่าทาง หรือ กริยาท่าทาง ก็จะเป็นการตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า How
2 Adverb of Place - Place หมายถึง สถานที่ ก็จะเป็นการตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า where
3 Adverb of Time - Time หมายถึง เวลา ก็จะเป็นการตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า when
4 Adverb of Frequency- Frequency หมายถึง ความถี่,ความบ่อย ก็จะเป็นการตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า how often
5 Adverb of Degree - Degree ในที่นี้หมายถึง ความเข้มข้นหรือระัดับ ก็จะเป็นการตอบคำถามในลักษณะ ที่ถามที่เป็นลักษณะของ what extent การที่เขียนว่าตอบคำถามในลักษณะนี้อย่าเข้าใจว่า เป็นการตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำนี้นะคะ เวลาอ่าน อ่านให้หมด อ่านดีๆ อ่านทุกบรรทัด เพราะไม่ใช่ว่า เห็นทุกข้อเขียนเหมือนกันหมด ก็จะเหมารวมว่าเป็นข้อ 5 เหมือนกัน ระวังๆ หน่อยนะค้า เวลาอ่านอ่าจ่ะ ไม่งั้นจะเข้าใจผิดไปเลยน้า โอเคนะคะ
Adjective (คำคุณศัพท์)
Adjective เนี่ย แปลว่า "คำคุณศัพท์" ทำหน้าที่ "ขยายคำนาม" อ่านแค่นี้อาจจะไม่เข้าใจ ลองยกตัวอย่างดูนะคะ อย่างผู้หญิงคนนึงเนี่ย เราจะใช้คำว่า "a woman" แต่ถ้าเราจะพูดว่า ผู้หญิง"สวย" คนนึง เราก็จะพูดว่า "a beautiful woman" ใช่มั๊ยคะ? เพราะฉะนั้น สรุปได้คือ การขยายคำนาม คือ การให้รายละเอียดคำนามนั้นเพิ่มเติมจากคำนามปกติธรรมดาทั่วไป เช่น มีการบอกลักษณะ รูปร่าง ขนาด จำนวน แหล่งที่มา ฯลฯ
ตอนนี้ถ้าพอจะเข้าใจคร่าวๆ แล้ว มาดูตำแหน่งของคำคุณศัพท์กันต่อนะคะ จากตัวอย่าง
" a beautiful woman" ตำแหน่งอยู่ "หน้าคำนาม"
แต่ตำแหน่งของคำคุณศัพท์ยังมีอยู่อีกหนึ่งที่ค่ะ คือ "อยู่หลัง V. to be หรือ linking v."
She is beautiful.
สรุปตำแหน่งของคำคุณศัพท์มีอยู่ 2 ที่ คือ หน้าคำนาม และ หลังv.to be หรือ linking v.
ทีนี้ก็มาถึงประเภทของคำคุณศัพท์นะคะ จริงๆแล้ว คำคุณศัพท์มีอยู่หลายประเภท แต่ในบล็อกนี้ขอยกมา 4 ประเภทนะคะ ส่วนถ้าใครอ่านบล็อกนี้แล้ว มีคำถามอยากถามเพิ่มเติม ก็สอบถามทิ้งไว้ได้จ่ะ
มาดูประเภทแรกกันก่อนนะคะ
1. Descriptive Adjective - โดยตัวของคำว่า Descriptive หมายถึง เป็นการบรรยาย, เป็นการพรรณนา, ซึ่งบอกรูปร่างลักษณะ เมื่อเอามารวมกับคำว่า Adjective ก็จะหมายถึง คำคุณศัพท์บอกลักษณะ (แปลจากหลังมาหน้านะคะ) ความหมายก็ตรงตัวเลยนะคะ คำคุณศัพท์อะไรก็ตามที่แปลออกมาแล้วเป็นการอธิบาย บรรยาย พรรณนาถึงรูปร่างลักษณะ จะของคำนามที่เป็นคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ จะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม ก็จะเข้ากลุ่มนี้ทั้งหมดนะคะ
2. Possessive Adjective - Possessive แปลว่า เกี่ยวกับการครอบครอง รวมกับคำว่า Adjective ก็จะหมายถึง คำคุำณศัพท์ที่แสดงความครอบครอง, ที่เกี่ยวกับการเป็นเ้จ้าของ ขอให้กลับไปอ่านรายละเอียดหัวข้อนี้ในบล็อกก่อนหน้านี้ค่ะ
3. Demonstrative Adjective - Demonstrative แปลว่า ชี้เฉพาะ (จริงๆแล้วมีหลายความหมาย แต่เลือกความหมายที่จะสามารถเข้ากับบริบทการใช้) มารวมกับ Adjective ก็จะแปลว่า คำคุณศัพท์ชี้เฉพาะ เป็นการชี้เฉพาะให้กับคำนามตัวใดตัวหนึ่ง ว่าคำนามต้องเป็นคนนี้ คนนั้น สิ่งนี้ สิ่งนั้น อันนี้ อันนั้น ตัวนี้ ตัวนั้น
4. Indefinite Adjective - Indefinite แปลว่า ไ่ม่ชัดแจ้ง, ไม่แน่นอน, ไม่ตายตัว, ซึ่งไม่กำหนดชัดเจน แต่เมื่อเอามารวมกับ Adjective แล้วจะแปลให้ได้ความหมายที่เป็นที่เข้าใจและสวยงามคือ
คำคุณศัพท์ที่ไม่ชี้เฉพาะ คือไม่ชี้เฉพาะว่าเป็นนามนั้น นามนี้ แต่จะพูดถึงนามรวมๆ เป็นเรื่องของจำนวน
ก็ตามนี้นะคะ ถ้ามีำคำถามเพิ่มเติมก็โพสต์ทิ้งไว้ได้เลยค่ะ แล้วจะมาตอบให้นะค้า :)
Monday, March 12, 2012
Noun and Pronoun คำนามและคำสรรพนาม
คำนาม (Noun)
คำนาม คือ
ชื่อเรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ และสิ่งที่เป็นนามธรรม
เวลาพูดถึงคำนาม ให้เรานึกถึง ตัวเองก่อนอันดับแรกว่า ตัวเราเป็นอะไร ตัวเราเป็นคน แล้วให้สมมติ(หรือไม่สมมติก็ได้) ว่าเรามีสัตว์เลี้ยงตัวโปรดอยู่ สัตว์เลี้ยงนั้นจะเป็นอะไรก็ได้ แล้วก็มีสิ่งของ มีสถานที่ที่เราชอบ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ให้นึกถึงทั้งหมดนี้ คือคำนามในภาพรวม ตัวเรา(ซึ่งเป็นคน) เลี้ยงสัตว์ มีสิ่งของ มีสถานที่ และมีความชอบในสิ่งของหรือสถานที่นั้น(นามธรรม) ก็จะสามารถช่วยให้เราเข้าใจคำนามได้ในมุมกว้างๆ
พอจะเจาะลึกเข้าไปอีก เป็นคำนามทั่วไป กับคำนามเฉพาะ ก็ให้เราเอาตัวเองเป็นหลักก่อนว่า ตอนแรกคิดว่าเราเป็นคน ซึ่งเป็นแค่คนทั่วๆไป แต่พอเรามาดูอีกที เรามีชื่อเฉพาะของเรา การมีชื่อขึ้นมาเจาะจงว่าเป็นตัวเราเนี่ยแหละ ก็เลยกลายให้คนธรรมดา กลายเป็นคนที่มีชื่อเรียกเฉพาะเจาะจง มีคนเดียวในโลกที่ชื่อแบบนี้ หน้าตาแบบนี้ แล้วเวลาเขียนชื่อเราทุกครั้ง ก็ต้องเขียนเป็นตัวอักษรใหญ่ ไม่ว่าจะชื่อเล่นหรือชื่อจริง พอคิดได้แบบนี้แล้ว เข้าใจแล้ว มันก็จะนำไปสู่การเข้าใจในเรื่องของความแตกต่างระหว่างคำนามทั่วไป กับ คำนามเฉพาะ
นอกจากนี้แล้ว เมื่อนึกถึงจำนวนของคำนามที่ยังไม่นับ ก็ให้นึกถึงอยู่สองพวกคือ มีเพียงหนึ่ง (เอกพจน์) และ มากกว่าหนึ่ง หรือสองขึ้นไป (พหูพจน์) ซึ่งก็จะมีกฏการทำคำนามเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์ตามด้านล่างนี้แล้ว แต่ถ้านึกถึงจำนวนของคำนามในเรื่องของจำนวนนับให้นึกถึง นับได้ (countable) กับ นับไม่ได้ (uncountable) ซึ่งมีรายละเอียดตามข้างล่างนี้ (ก่อนที่จะอ่านเนื้อหาข้างล่าง ขอให้เข้าใจภาพรวมของคำนามที่ได้เกริ่นไว้ข้างต้นนี้ก่อน)
เวลาพูดถึงคำนาม ให้เรานึกถึง ตัวเองก่อนอันดับแรกว่า ตัวเราเป็นอะไร ตัวเราเป็นคน แล้วให้สมมติ(หรือไม่สมมติก็ได้) ว่าเรามีสัตว์เลี้ยงตัวโปรดอยู่ สัตว์เลี้ยงนั้นจะเป็นอะไรก็ได้ แล้วก็มีสิ่งของ มีสถานที่ที่เราชอบ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ให้นึกถึงทั้งหมดนี้ คือคำนามในภาพรวม ตัวเรา(ซึ่งเป็นคน) เลี้ยงสัตว์ มีสิ่งของ มีสถานที่ และมีความชอบในสิ่งของหรือสถานที่นั้น(นามธรรม) ก็จะสามารถช่วยให้เราเข้าใจคำนามได้ในมุมกว้างๆ
พอจะเจาะลึกเข้าไปอีก เป็นคำนามทั่วไป กับคำนามเฉพาะ ก็ให้เราเอาตัวเองเป็นหลักก่อนว่า ตอนแรกคิดว่าเราเป็นคน ซึ่งเป็นแค่คนทั่วๆไป แต่พอเรามาดูอีกที เรามีชื่อเฉพาะของเรา การมีชื่อขึ้นมาเจาะจงว่าเป็นตัวเราเนี่ยแหละ ก็เลยกลายให้คนธรรมดา กลายเป็นคนที่มีชื่อเรียกเฉพาะเจาะจง มีคนเดียวในโลกที่ชื่อแบบนี้ หน้าตาแบบนี้ แล้วเวลาเขียนชื่อเราทุกครั้ง ก็ต้องเขียนเป็นตัวอักษรใหญ่ ไม่ว่าจะชื่อเล่นหรือชื่อจริง พอคิดได้แบบนี้แล้ว เข้าใจแล้ว มันก็จะนำไปสู่การเข้าใจในเรื่องของความแตกต่างระหว่างคำนามทั่วไป กับ คำนามเฉพาะ
นอกจากนี้แล้ว เมื่อนึกถึงจำนวนของคำนามที่ยังไม่นับ ก็ให้นึกถึงอยู่สองพวกคือ มีเพียงหนึ่ง (เอกพจน์) และ มากกว่าหนึ่ง หรือสองขึ้นไป (พหูพจน์) ซึ่งก็จะมีกฏการทำคำนามเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์ตามด้านล่างนี้แล้ว แต่ถ้านึกถึงจำนวนของคำนามในเรื่องของจำนวนนับให้นึกถึง นับได้ (countable) กับ นับไม่ได้ (uncountable) ซึ่งมีรายละเอียดตามข้างล่างนี้ (ก่อนที่จะอ่านเนื้อหาข้างล่าง ขอให้เข้าใจภาพรวมของคำนามที่ได้เกริ่นไว้ข้างต้นนี้ก่อน)
ชนิดของคำนาม (Types of Noun)
1. คำนามทั่วไป (Common Nouns) – กล่าวถึงคำนามที่เป็นคน สัตว์ สิ่งของ
และสิ่งที่เป็นนามธรรมโดยไม่เฉพาะเจาะจง
คำนามทั่วไป เป็นได้ทั้งคำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้
คำนามนับได้ คือ
คำนามที่สามารถนับเป็นจำนวนนับได้ เป็นได้ทั้งคำนามเอกพจน์และคำนามพหูพจน์
กฎในการเปลี่ยนคำนามเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์
มีดังนี้
1. เติม –s ได้เลย
2. เติม – es หลังคำนามที่ลงท้ายด้วย s, z, x,
sh, and ch
3. คำนามที่ลงท้ายด้วย y
3.1
เปลี่ยน y เป็น ies ในกรณีที่หน้า
y
เป็นพยัญชนะ
3.2
เติม –s ได้เลย
ในกรณีที่หน้า y
เป็นสระ
4. คำนามที่ลงท้ายด้วย o
4.1
เติม – es หลังคำนาม
ในกรณีที่หน้า o
เป็นพยัญชนะ
4.2
เติม – s ได้เลย
ในกรณีที่หน้า o
เป็นสระ
5. เปลี่ยน f หรือ fe เป็น ves หลังคำนามที่ลงท้ายด้วย f or fe
*หมายเหตุ คำนามที่ลงท้ายด้วย f หรือ fe บางคำที่สามารถเติม – s ได้เลย
6. เปลี่ยนรูปเมื่อเป็นพหูพจน์
คำนามนับไม่ได้ คือ
คำนามที่ไม่สามารถนับได้ โดยปกติจะเป็นสสารหรือความคิด พจน์ของคำนามเป็นเอกพจน์ได้เท่านั้น
2. คำนามเฉพาะ (Proper Nouns) – ชื่อเฉพาะของคน
สัตว์ สิ่งของ สถานที่ จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษรตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ
หน้าที่ของคำนาม ( Functions of Noun)
1. ประธานของประโยค
2. กรรมของประโยค
3. กรรมของคำบุพบท
คำสรรพนาม (Pronoun)
คำสรรพนาม คือ คำที่ใช้แทนคำนาม ส่วนเรื่องคำสรรพนามที่ไม่มีอะไรมาก เห็นคำนี้เมื่อไหร่ ให้นึกทันที ว่าเค้าทำหน้าที่แทนคำนาม ก็จะมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็ทำงานตามหน้าที่ตามชื่อ ไม่ยาก แต่อาศัยท่องจำในตอนแรกบวกกับ ความเข้าใจในเรื่องของตำแหน่งประเภทของคำที่เราต้องทราบ ซึ่งจะได้อธิบายไว้ในการใช้ของแต่ละข้อ
ชนิดของคำสรรพนาม (Types of Pronoun)
1. บุรุษสรรพนาม (Personal Pronoun)
คือ
คำสรรพนามที่ใช้แทนคน สถานที่ สิ่งของ และความคิด
1.1 คำสรรพนามที่ทำหน้าที่เป็นประธาน (Subject Pronouns) ให้สังเกตคำนามที่อยู่หน้ากริยา แล้วเลือกใช้คำสรรพนามแทนให้เหมาะสมตามความหมายของคำนามนั้น ว่าแปลแล้ว เป็นคนที่เป็นผู้ชาย ผู้หญิง หรือสัตว์ หรือสิ่งของ หรือเป็นคนที่มีหลายคน ซึ่งต้องพิจารณาอีกว่า คนที่มีหลายคนจะใช้คำว่าอะไร (ขึ้นอยู่กับความสามารถในการแปลคำนามนั้นๆ)
– I, You,
We, They, He, She, It
1.2 คำสรรพนามที่ทำหน้าที่เป็นกรรม (Object Pronouns) คำอธิบายเกือบจะเหมือนข้อ 1.1 แต่ต่างกันตรงที่ให้สังเกตคำนามที่อยู่ หลัง กริยา
– me, you,
us, them, him, her, it
2. สรรพนามเจ้าของ (Possessive Pronouns)
คือ
คำสรรพนามที่แสดงความเป็นเจ้าของ
2.1 คําคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกความเป็นเจ้าของของนาม (Possessive Adjective Pronouns) คำสรรพนามชนิดนี้ ต่างจาก 2.2 โดยต้องมีคำนามตามหลัง (อยู่หน้าคำนาม) เนื่องจาก ชื่อของมันคือ Possessive Adjective
ถ้าใครทราบว่า Adjective แปลว่า คำคุณศัพท์ ทำหน้าที่ขยายคำนาม ตำแหน่งของเค้าอยู่หน้าคำนาม ก็จะเป็นหน้าที่ของคำสรรพนามชนิดนี้ทั้งหมด ทั้งเรื่องการขยายคำนาม และตำแหน่งที่เค้าอยู่
– my, your,
our, their, his, her, its
ถ้าใครทราบว่า Adjective แปลว่า คำคุณศัพท์ ทำหน้าที่ขยายคำนาม ตำแหน่งของเค้าอยู่หน้าคำนาม ก็จะเป็นหน้าที่ของคำสรรพนามชนิดนี้ทั้งหมด ทั้งเรื่องการขยายคำนาม และตำแหน่งที่เค้าอยู่
2.2 คำสรรพนามที่แสดงความเป็นเจ้าของ (Possessive Pronouns) คำสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของชนิดนี้ ชื่อก็บอกยี่ห้ออยู่แล้วว่า Possessive Pronoun แสดงความเป็นเจ้าของ แต่เป็นเจ้าของแบบแทนคำนามเลย
– mine,
yours, ours, theirs, his, hers, its
3. สรรพนามตนเอง (Reflexive Pronouns)
คือ สรรพนามที่แสดงตนเอง แสดงการเน้น ย้ำให้เห็นชัดเจน เป็นการเน้นย้ำว่า "ประธานกระทำกริยานั้นด้วยตนเอง" จะใช้ยังไง ให้ดูที่ประธานของประโยคเป็นหลัก ซึ่งประธานของประโยค สามารถเป็นได้ทั้งคำนามและคำสรรพนาม ต้องแปลและสังเกตได้เอง
- myself, yourself/yourselves, ourselves,
themselves, himself, herself, itself
Subscribe to:
Posts (Atom)