Tuesday, February 14, 2012

หลักการทำข้อสอบในส่วนการอ่าน

สำหรับบล็อกนี้ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า บิ้วไม่ได้เขียนเองค่า แต่ไปหาข้อมูลที่น่าจะเป็นประโยชน์มาให้ทุกๆคนนะค้า


ข้อสอบการอ่านภาษาอังกฤษนั้นประกอบด้วยเนื้อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวต่างๆ ที่ผู้สอบต้องทำความเข้าใจ แล้วตอบคำถาม ซึ่งผู้สอบย่อมต้องมีทักษะหลายๆ ประการ ดังนั้น

                1. รู้ศัพท์ (Vocabulary) ให้มากที่สุด การสอบ Reading แต่ละครั้ง เราไม่สามารถรู้ได้ว่าเรื่องที่จะออกมาในเรื่องใด หากเป็นเรื่องที่เรามีความคุ้นเคย ก็ถือว่าเป็นโชคดีเพราะเราอาจจะเข้าใจเนื้อเรื่องมาก่อนแล้ว การเดาศัพท์ก็ทำได้ไม่ยาก ในทางกลับกันหากเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ย่อมจะเพิ่มความลำบากให้เรามากขึ้น ดังนั้นการรู้ศัพท์เป็นจำนวนมาก หรือเข้าใจหลักการในการเดาศัพท์จากคำใกล้เคียงส่งผลให้เรามีโอกาสในการเข้าใจเรื่องนั้นๆ

                2. เข้าใจในโครงสร้างหลักภาษาอังกฤษ (English Structure หรือ Grammar)ตามหลักการเขียนภาษาอังกฤษนั้น จะเริ่มจากการนำคำศัพท์มาเรียงกันให้เกิดประโยค เมื่อประโยค หลายๆ ประโยคมารวมกันก็จะกลายเป็นย่อหน้า และเมื่อแต่ละย่อหน้ามาประกอบกันจะได้เนื้อเรื่อง ดังนั้นการรวมกันของศัพท์เพื่อให้ได้ประโยคย่อมต้องอาศัยหลักการโครงสร้างภาษาอังกฤษที่จะต้องประกอบด้วยส่วนสำคัญหลัก 3 ส่วนคือ
                ส่วนประธาน (Subject) ที่ทำหน้าที่เป็นตัวหลักของประโยค ส่วนที่สองคือส่วนการกระทำ หรือกริยา (Verb)ซึ่งจะกำหนดการกระทำที่เกิดขึ้นของประธาน และส่วนสุดท้ายซึ่งจะมีหรือไม่มีก็ได้ คือส่วนกรรม (Object) คือส่วนรองรับการกระทำจากกริยา ด้วยเหตุนี้ผู้อ่านต้องแยกแยะแต่ละส่วนหลักของประโยคให้ได้เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึง ใครทำอะไร ส่วนคำประกอบที่เหลือก็จะเป็นส่วนขยายให้ประโยคมีความชัดเจนมากขึ้น
                ดังนั้นการรู้ประเภทของคำในศัพท์ เช่น คำนาม (Noun) คำกริยา (Verb) คำสรรพนาม (Pronoun) หรือ คำอื่นๆ จะทำให้เราได้ทราบถึงตำแหน่งและหน้าที่การวางคำในประโยคตามหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ


เทคนิคการทำข้อสอบ Reading

                1.  ถาม  title  หรือ  topic  (ชื่อเรื่อง) , main  idea  (ความคิดหลักของเรื่อง)  วิธีการตอบคำถามประเภทนี้สามารถใช้เทคนิคในกรหาคำตอบได้ดังนี้

          -  ใช้วิธี  skim  และ  scan  คือการกวาดตาอย่างรวดเร็ว  เพื่อหาคำซ้ำๆ  ในเรื่อง  ซึ่งเป็นคำที่ซ้ำๆ ที่อยู่ในกลุ่มคำที่น่าจะสัมพันธ์กัน  นำมาประมวลรวมกันเพื่อรวมเป็นหัวเรื่องหรือแนวคิดหลักของเรื่อง
          -  ถ้าเนื้อเรื่องที่อ่านมีเพียง  1-2  ย่อหน้า  ให้อ่านประโยคแรกและประโยคสุดท้ายของย่อหน้าแรก  เพราะปะโยคแรกและประโยคสุดท้ายของแต่ละย่อหน้า  มักจะเป็นประโยคที่มี  main  idea  แล้วนำประโยคที่อ่านมาประมวลความคิด  เพื่อหาความคิดหลักของเรื่อง

          ถ้าเนื้อเรื่องที่อ่านมีตั้งแต่  3 ย่อหน้าขึ้นไป  ให้อ่านย่อหน้าแรกและย่อหน้าสุดท้าย  เพราะย่อหน้าแรกมักจะเป็นคำนำ  และย่อหน้าสุดท้ายมักจะเป็นสรุป  ซึ่งจะทำให้เราสามารถจับใจความหลักของเนื้อเรื่องที่เราอ่านได้

          title , topic  หรือ main idea  ของเรื่องจะต้องไม่กว้างมากเกินไปหรือไม่แคบเกินไป  ถ้าจะเปรียบความคิดหลักของเรื่องก็คล้ายๆ  กับฝาชี  เรามีฝาชีไว้ครอบจานอาหาร  ฝาชีนั้นต้องครอบอาหารได้ทุกจาน  ไม่มีจานใดจานหนึ่งเล็ดลอดออกมา  ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ใหญ่จนเกินไป เช่น  ถ้าคำซ้ำๆ  กันในเนื้อเรื่องคือ  tiger , leopard , zebra , hare, snake  ดังนั้น  title  หรือ  topic  ก็ควรจะเป็น  wild  animals  ถ้าเราเลือก  animal  เฉยๆ  ก็มักจะกว้างเกินไป  จริงไหมคะ

                2.  ถาม  pronoun  reference  นั่นก็คือคำถามประเภท  “it”  line…..refers  to…. เทคนิคการทำข้อสอบประเภทนี้มี  2  วิธี  คือ

          -  ถ้าข้อสอบถามถึงคำประเภท  เช่น  he , she , they , we , this , that , there , these , those , one , such , the above  เราต้องใช้วิธีการ  backward  คือ  ถอยหลังกลับไปอ่านในประโยคก่อนหน้านี้  1-2  ประโยค  ถ้าไม่เจออาจจะถอยไปประโยคที่  แต่โอกาสที่จะถอยไป  3 ประโยค  หรือเกินกว่านี้มีน้อยมาก  เพราะตามหลักของการเขียนจะไม่อ้างอิงหลายประโยค  เพราะอาจทำให้ผู้อ่านสับสน

Source: http://www.vcharkarn.com/varticle/40099 (เลือกมาแค่ที่สำคัญๆกับการทำข้อสอบส่วนการอ่านของวิชานี้นะคะ) 

Sunday, February 5, 2012

วิธีการทำข้อสอบเรื่อง Participles

แยกออกได้เป็น 3 เรื่องหลักๆ นะคะ ให้ดูโจทย์ทีละข้อ ว่าโจทย์ข้อนั้นต้องการวัดความรู้เรื่องไหน
แต่สิ่งที่สำคัญคือ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ Present Participle คือ V.ing และ Past Participle คือ V.3
เพราะฉะนั้น ถ้าตัวเลือกมี กริยาตัวอื่นมาลวง มีกริยาที่ไม่ใช่ V.ing หรือ V.3 ก็ให้ตัดออกไปเลยค่ะ
1. ถ้าต้องการวัดเรื่อง กาลเวลา (Tenses) ช่องว่างอยู่ตรงไหน ให้ดูย้อนทีละคำ หน้าช่องว่างไปเลยค่ะว่ามี V. to be, หรือ V. to have มั๊ย ถ้ามีก็ดูเนื้อหาตามโครงสร้างเลยค่ะ

V. to be + V.ing (Continuous)
V. to be + V. 3 ( Passive)
V. to have + V.3 ( Perfect)

ในส่วน V. ที่ตามหลัง V. to be มีโอกาสเป็นได้ทั้ง V.ing หรือ V.3 ขอให้สังเกตประธานของประโยคไว้ค่ะ
ว่าประธานสามารถกระทำกริยาเอง (V.ing) ได้หรือไม่ หรือถูกกระทำ (V.3)

2. ถ้าดูโจทย์แล้วไม่ได้วัดเรื่องในข้อที่ 1 ก็ลองมาดูกันว่าอาจจะวัดเรื่อง Participle ทำหน้าที่เป็น Adjective ซึ่งตำแหน่งจะอยู่หน้าคำนามค่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าวัดเรื่องนี้ ช่องว่างอยู่ตรงไหน ให้ดูคำนามที่ตามหลังช่องว่าง ดังนี้

V.ing + N. ที่เป็นคน สัตว์หรืออะไรก็ตามที่กระทำกริยาเองได้
V.3  + N. ที่เป็นสิ่งของ หรืออะไรก็ตามที่ไม่สามารถกระทำกริยาเองได้ (ถูกกระทำ)

3. ถ้าดูโจทย์แล้ว ไม่ได้วัดเรื่องในข้อที่ 1 และ 2 แสดงว่าวัดในหัวข้อนี้ คือ Participial phrase ซึ่งทำหน้าที่แทน Adjective Clauses ถ้าวัดเรื่องนี้ ช่องว่างอยู่ตรงไหน ให้ดูคำนามข้างหน้าช่องว่างเป็นหลักค่ะ

N. ที่เป็นคน +  V.ing 
N. ที่เป็นสิ่งไม่มีชีวิต + V.3 + by * ให้ดูคำว่า by ด้วยก็ได้ค่ะ สำหรับการใช้ V.3 ในหัวข้อนี้

ใครจะไม่ทำลำดับตามนี้นะคะ จะดูว่าโจทย์วัดเรื่องไหนก่อนก็ได้ แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคนค่ะ :)

วิธีการทำข้อสอบเรื่อง Relative Clauses (Adjective Clauses)

ส่วนเรื่อง Relative Clauses นี้  ให้ดูโจทย์ก่อน คือตรงช่องว่างที่จะให้เราเลือกคำเชื่อมใส่ลงไป ให้สังเกตแบบนี้ค่ะ

ให้วงกลมหรือเน้นคำนามที่อยู่ข้างหน้าช่องว่าง
1. ถ้าแปลออกมาแล้วเป็นคน ก็ให้นึกถึงกลุ่มตัวเชื่อมที่ใช้กับคน คือ whoและ whom และตัวเชื่อมที่ใช้กับการแสดงความเป็นเจ้าของที่เป็นคนคือ whose
ซึ่งสามารถคิดออกมาเป็นสูตรได้ดังนี้ค่ะ

- N. คน + who + กริยา = จะตอบ who ในกรณีที่ คำนามข้างหน้าเป็นคน หรือ ชื่อคน และชนิดของคำที่อยู่ข้างหลังเป็นกริยา
- N. คน + whom + คำสรรพนามที่ทำหน้าที่เป็นประธาน (Subject Pronouns)   = จะตอบ whom ในกรณีที่ คำนามข้างหน้าเป็น คน หรือ ชื่อคน และชนิดของคำที่อยู่ข้างหลังเป็น Subject Pronouns หรืออาจจะเป็นคำนามอื่นๆ ที่เป็นผู้กระทำกริยากับคำนามที่อยู่ข้างหน้า (อาจจะต้องอาศัยการแปลความหมาย) ขึ้นอยู่กับความถี่ในการทำแบบฝึกหัด เพราะจะมีโอกาสได้เห็นโจทย์หลายประเภท
- N. คน + whose + N. อะไรก็ได้ = จะตอบ whose ในกรณีที่ คำนามข้างหน้าเป็นคน หรือ ชื่อคน และชนิดของคำข้างหลังเป็นคำนาม ซึ่งจะเป็นคน สัตว์หรือสิ่งของ ไม่เจาะจงว่าต้องเป็นคนอย่างเดียว เจาะจงแค่ข้างหน้าเท่านั้นว่าต้องเป็นคน

2. ถ้าแปลออกมาแล้วไม่ใช่คน เป็นสัตว์หรือสิ่งของ ก็ให้นึกถึงกลุ่มตัวเชื่อมที่ใช้กับสิ่งที่ไม่ใช่คน คือ which และ of which แต่ที่จะคิดเป็นสูตรออกมาได้มีตัวเดียวคือ of which สำหรับ which คำตอบจะมีค่อนข้างหลากหลาย คิดเป็นสูตรตายตัวไม่ได้

- N. สัตว์หรือสิ่งของ + of which + N. อะไรก็ได้ จะตอบ of which ในกรณีที่ คำนามข้างหน้าเป็นสัตว์หรือสิ่งของ และชนิดของคำข้างหลังเป็นคำนาม ซึ่งจะเป็นคน สัตว์หรือสิ่งของ ไม่เจาะจงว่าต้องเป็นคนอย่างเดียว เจาะจงแค่ข้างหน้าเท่านั้นว่าต้องเป็นสัตว์หรือสิ่งของ

3. ถ้าแปลออกมาแล้วเป็นเวลา ให้นึกถึงกลุ่มคำที่ใช้กับเวลาคือ when, in which, on which
4. ถ้าแปลออกมาแล้วเป็นสถานที่ ให้นึกถึงกลุ่มคำที่ใช้กับสถานที่คือ where, in which, at which, which/that

นี่แต่สรุปเนื้อหาหลักๆให้เท่านั้นนะคะ ส่วนที่เป็นข้อยกเว้น เช่น การละตัวเชื่อม หรือ that สามารถใช้แทนคำเชื่อมตัวไหนได้บ้าง หรือข้อยกเว้นเรื่องคำเชื่อมเวลาคำนามเป็นสถานที่ ก็อย่าลืมเรื่องคำบุพบทที่อยู่ท้ายประโยคย่อย ให้ดูทบทวนเนื้อหาที่เป็นข้อยกเว้นต่างๆ ในblog ที่ขึ้นหัวข้อว่า Relative Clauses ได้ค่ะ


วิธีการทำข้อสอบเรื่อง Comparisons (การเปรียบเทียบ)

สำหรับบทนี้ไม่ยากค่ะ ตามนี้เลยค่ะ
1. ให้แยกการเปรียบเทียบก่อนว่าเป็นการเปรียบเทียบคำคุณศัพท์ (Adj.) หรือคำวิเศษณ์ (Adv.)
    โดยสังเกตที่กริยา
     Adj. - V. to be หรือ Linking V
     Adv. - V. ทั่วไป
2. เมื่อทราบแล้วว่า เป็นการเปรียบเทียบอะไร ให้สังเกตที่ประโยคว่า เป็นการเปรียบเทียบในขั้นไหน (ขั้นเท่า ขั้นกว่า หรือขั้นสุด)
   - ขั้นเท่า (Positive Degree) อันนี้ไม่ทราบจริงๆ ค่ะว่าจะสอนให้สังเกตยังไง ดูที่ตัวเลือกคำตอบละกันนะค้า แล้วก็ดูโครงสร้างให้ถูกต้อง
    - ขั้นกว่า (Comparative Degree) มีจุดให้สังเกตคือ อาจจะมีประคำนามหรือคำสรรพนาม 2 ตัว
ปิดหัวปิดท้ายประโยค หมายถึงว่า มีคำนามหรือสรรพนามขึ้นต้นเป็นประธานประโยคหนึ่งตัว และมีคำนามหรือสรรพนามอยู่ท้ายคำว่า "than" อีกหนึ่งตัว แต่ถ้าในกรณีที่คำตอบเป็นขั้นกว่าแต่มีคำนามหรือสรรพนามขึ้นต้นประโยคเป็นประธานแค่ตัวเดียวจะไม่มี than เชื่อม ส่วนในเรื่องของการเปลี่ยนคำให้เป็นขั้นกว่า ให้ดูรายละเอียดกันเอาเองนะคะ ว่าเมื่อไหร่ที่จะเติม er ได้เลย เมื่อไหร่ที่ต้องใช้ more หรือแม้แต่ในกฏอื่นๆ ที่ยังไม่ทราบต้องไปศึกษาเพิ่มเติมนะคะ เพราะบิ้วจะบอกแค่หลักการคร่าวๆเท่านั้นค่ะ
    - ขั้นสุด (Superlative Degree) มีจุดให้สังเกตดังนี้ จะมีคำนาม สรรพนามหรือชื่อคน ขึ้นต้นประโยคเพียงตัวเดียว และจะมีกลุ่มคำที่ใช้เป็นจุดสังเกตได้ว่าประโยคนี้เป็นขั้นสุด (ได้บอกไปแล้วในบล็อกที่ขึ้นหัวข้อว่า "Comparisons) เรื่องกฏการเปลี่ยนก็ไปศึกษาเพิ่มเติมกันเองนะคะ

    มีข้อที่อยากจะเตือนอยู่  ดังนี้ค่ะ
    1. ถ้าเป็นการเปรียบเทียบ adv. อย่าลืมว่าต้องเปลี่ยน adj. ให้เป็น adv. ก่อน
    2. อย่าลืมเรื่องของคำยกเว้นที่ว่า คำหนึ่งคำ สามารถเป็นได้ทั้ง adj. และ adv.
    3. ในขั้นแต่ละขั้นมีกฏการทำและโครงสร้างประโยคที่เหมือนกัน จะต่างกันแค่ว่าเป็นการเปรียบเทียบadj. หรือ adv. และในขั้นสุดของ adv. จะไม่มี the แต่ใน adj. จะต้องมี the
   4. ถ้ากฏของคำไหนที่มีการใช้ more ในขั้นกว่า หรือ most ในขั้นสุด อย่าลืมว่า คำadj. หรือ adv. นั้น ห้ามเติม -er หรือ -est เด็ดขาด


วิธีการทำข้อสอบเรื่อง Direct and Indirect Speech

ต้องบอกไว้ก่อนว่า วิธีการเหล่านี้ บิ้วนำวิธีการคิดและลงมือทำของตัวเองมาเผยแพร่นะคะ ถ้าใครไม่ได้ใช้วิธีการเดียวกันตามนี้ ก็อาจจะเอาวิธีการเหล่านี้ไปเป็นแนวทางของตัวเองก็ได้นะคะ คือ วิธีการของแต่ละคนไม่มีถูกผิด มีแค่ว่า วิธีไหนที่จะใช้ได้ดีกับตัวเอง ก็ต้องหาให้เจอ แค่นั้นเองค่ะ .... มาดูกันเลยค่ะ สำหรับวิธีการของการทำเนื้อหาไวยากรณ์บทนี้...

1. พออ่านโจทย์แล้วให้แยกประเภทของโจทย์ให้ได้ก่อน ว่าเป็นประโยคชนิดไหน ว่าเป็นประโยคบอกเล่า คำสั่งหรือขอร้อง หรือเป็นประโยคคำถาม
    1.1 ประโยคบอกเล่า  โครงสร้างจะเป็น S + V  ซึ่งในบางครั้ง ก็จะมีประโยคปฏิเสธด้วย S + V. ช่วย + not + V. แท้ ซึ่งต้องดูเองว่าเป็น tenses ไหน เพราะจะต้องย้อนกาลเวลาให้ถูกต้องตามกฏ ถ้าใครไม่แม่นโครงสร้างประโยค ก็จะเสียคะแนนในส่วนนี้ไป เพราะไม่สามารถย้อนกาลเวลาได้ถูกต้อง เพราะไม่รู้จักโครงสร้างและรูปแบบของกริยาทั้งสามช่อง
    1.2 ประโยคคำสั่งหรือขอร้อง โจทย์จะขึ้นต้นด้วยคำกริยาทั่วๆไป (ให้ทำ) หรือ ขึ้นต้นด้วย Don't (ไม่ให้ทำ)
    1.3 ประโยคคำถาม ให้สังเกตเครื่องหมาย ? ท้ายประโยค

2. ถ้าแยกประเภทของประโยคได้แล้ว ให้ดูแต่ละประเภท ดังนี้
    2.1 ประโยคบอกเล่า ให้ขีดเส้นใต้คำที่จำเป็นต้องเปลี่ยนไว้ก่อน
    2.2 ประโยคคำสั่งหรือขอร้อง ให้ดูประโยคว่า เป็นแบบ "ให้ทำ" หรือ "ไม่ให้ทำ"
    2.3 ประโยคคำถาม ให้ดูว่าเป็นแบบ "Yes/No" (ขึ้นต้นด้วย กริยาช่วยทั้งหมด) หรือ "Wh-Q" (ขึ้นต้นด้วย Wh-Q ทั้งหมด)

3. ดำเนินการทำตามกฏที่กำหนดไว้ในแต่ละประเภท
    3.1 ประโยคบอกเล่า ทำตามกฏที่กำหนดไว้ จากข้อ 2 เราได้ขีดเส้นใต้คำไว้แล้ว ก็เปลี่ยนตามนั้น ต้องเปลี่ยนสรรพนามก็เปลี่ยน มีคำบอกเวลาที่ต้องเปลี่ยนก็เปลี่ยน กาลเวลานี่ต้องย้อนอยู่แล้ว มีสถานที่ให้เปลี่ยนก็เปลี่ยน
   3.2  ประโยคคำสั่งหรือขอร้อง ถ้าเป็นแบบให้ทำ (ใส่ to หน้ากริยา) ไม่ให้ทำ (เอา not to ไปแทนที่ Don't) ให้จำไว้ว่า ประเภทคำสั่งหรือขอร้องนี้ "ไม่มีการย้อนกาลเวลา" แต่กฏข้ออื่นๆยังคงเดิม คือมีอะไรให้เปลี่ยนก็เปลียน
   3.3  ประโยคคำถาม ถ้าเป็นแบบคำถาม ให้ลองกลับประโยคเป็นขั้นๆ ก่อน เช่น แบบ Yes/No มีวิธีการทำอยู่ 3 ขั้น โดยขั้นแรก ให้เพิ่ม ifหรือ whether หน้า ประธานไว้ก่อน ขั้นที่สองคือ กลับประโยค จากประโยคคำถามให้เป็นประโยคบอกเล่า ขั้นที่สามคือ ทำตามกฏของการทำประโยคบอกเล่า คือมีอะไรให้เปลี่ยนก็เปลี่ยน ซึ่งในแบบ Yes/No นี้ ถ้าใครทำตามขั้น ก็จะสามารถขีดเส้นใต้คำที่จำเป็นต้องเปลี่ยนได้ในขั้นที่สอง จะทำให้เกิดความแน่นอนและกันพลาดได้มากขึ้น
          แต่ถ้าเป็นแบบ Wh-Q ขั้นที่หนึ่งคือให้กลับประโยคจากคำถามเป็นประโยคบอกเล่าได้เลย โดยคงตัว Wh-Word ไว้ ซึ่งเมื่อกลับประโยคเป็นบอกเล่าแล้ว ก็จะสามารถขีดเส้นใต้คำที่จำเป็นต้องเปลี่ยนได้เช่นกัน แล้วค่อยไปทำขั้นที่สองคือทำตามกฏของประโยคบอกเล่า คือมีตรงไหนเปลี่ยนก็เปลี่ยน

          การทำ Direct Speech ให้เป็น Indirect หรือ Reported Speech นี้ จริงๆแล้วไม่ยากค่ะ ที่เด็กส่วนใหญ่เห็นว่ายาก เพราะไม่เข้าใจเนื้อหาในเรื่องเหล่านี้อย่างแท้จริง คือเรื่องของ คำสรรพนาม โครงสร้างกาลเวลา (บอกเล่า, คำถาม, ปฏิเสธ) กริยาสามช่อง กริยาช่วย แล้วก็สำหรับเด็กที่ไม่ชอบอ่านหรือขี้เกียจจำ เพราะจริงๆแล้ว ตรงที่เปลี่ยนคำบอกเวลาไม่ยากเลยค่ะ แค่ท่องจำ ถ้าใส่ใจกับเค้าหน่อย ห้าถึงสิบนาทีก็ได้แล้วค่ะ เด็กที่รู้ตัวว่าตัวเองจำช้า เข้าใจช้า ก็ต้องอ่านเยอะกว่าเพื่อน แต่ถ้าไม่พยายามก็ไม่มีผลอะไรค่ะ ต่อให้เจออะไรที่ง่ายแค่ไหน ก็ทำไม่ได้ เพราะในสมองและจิตใจ สะกดเป็นแต่คำว่า "ยาก" ไม่เคยคิดว่าอะไร "ง่าย" หรือสำหรับเด็กที่อ่านหรือสะกดไม่ได้ ก็ต้องไปทำให้ตัวเองอ่านแล้วก็สะกดได้ก่อน จะมาใช้เป็นข้ออ้างว่า ไม่อยากอ่านเพราะอ่านไม่ได้ ไม่ได้หรอกนะคะ ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราทั้งหมด อยู่ที่ว่า จะทำรึเปล่าแค่นั้นเอง...  โอเคนะคะ ตามนี้ค่ะ มีปัญหาหรือข้อสงสัย สอบถามทิ้งไว้ได้ค่ะ :)

Saturday, February 4, 2012

ข้อสังเกตในการทำข้อสอบบทสนทนาทั้งสั้นและยาว (Short and long conversation)


1. ถามและตอบเป็นเรื่องเดียวกัน หมายถึง เนื้อเรื่องที่กำลังอ่านอยู่นั้นต้องเชื่อมโยงเป็นเรื่องเดียวกัน
2. ใครพูดกับใคร ให้รู้กาลเทศะ ซึ่งในเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับระดับของภาษาที่ใช้ เช่น เพื่อนคุยกับเพื่อน เด็กคุยกับผู้ใหญ่ นิสิตหรือนักศึกษาคุยกับอาจารย์ เจ้านายคุยกับลูกน้อง เป็นต้น ระดับของภาษาก็จะแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ ภาษาที่เป็นทางการ (Formal) และ ภาษาที่ไม่เป็นทางการ (Informal/ Colloquial) ซึ่งคำว่าเป็นทางการ กับ ไม่เป็นทางการ หมายถึง ความสุภาพในการใช้ภาษา
3. ศัพท์และสำนวนที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ที่ปรากฏอยู่ในบทสนทนาในแต่ละสถานการณ์และสถานที่

                3s Strategyของครูพี่แนน
                1. Situation ต้องดูสถานการณ์ โดยต้องมีลักษณะเฉพาะที่สามารถคาดเดาได้ เช่น การกล่าวคำทักทาย ขอโทษ ขอบคุณ การเข้าร้านอาหาร การถามเส้นทาง การเดินทางโดยเครื่องบิน รถไฟ โดยอยู่ที่สถานี การจองห้องพัก โรงแรม การซื้อขายสินค้า การโทรศัพท์ และ สถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ หมายถึง การคาดเดาสถานการณ์ได้ลำบาก เช่น การด่าแท็กซี่  การบ่น การขึ้นลิฟท์โดยบอกคนให้กดลิฟท์ให้ เป็นสิ่งที่มักจะเกิดในชีวิตประจำวันบ่อยๆ ไม่มีรูปแบบ แบบแผนโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้น วิธีการทำ ต้องดูก่อนว่าบทสนทนานั้นอยู่ในสถานการณ์แบบไหน
                2. Status สถานภาพ ต้องรู้สถานภาพเพื่อที่จะใช้ภาษาได้อย่างเหมาะสมในบทสนทนานั้นๆ
                3. Speaker ผู้พูด คือ ในบทสนทนานั้นมีคนพูดอยู่กี่คน และใครกำลังเป็นคนพูดอยู่


หมายเหตุ ได้เพิ่มเติมคำอธิบายบางส่วนเป็นภาษาของตัวเองไปด้วยค่ะ ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ 

Wednesday, February 1, 2012

Direct & Indirect (Reported) Speech (Types)

ต่อกันจากบล็อกที่แล้วนะคะ บล็อกนี้เราจะมารู้จักกับประเภทของประโยคในเรื่องนี้กันนะคะ มาดูกันเลยค่ะ

จะมีรูปแบบของประโยคอยู่ 3 ประเภท คือ
1. บอกเล่า (Statement)
2. คำสั่งหรือขอร้อง (Commands or Requests) 
3. คำถาม (Questions) 

ซึ่งจะมีหลักในการทำแต่ละชนิดดังนี้ค่ะ
1. บอกเล่า - ให้ตามกฏทั้ง 5 ข้อในบล็อกก่อนหน้านี้เลยค่ะ คือ เปลี่ยนสรรพนาม เปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนคำบอกเวลา ย้อนกาลเวลา แล้วก็เอาเครื่องหมายคำพูดออกด้วย ให้จำไว้นะคะว่า "เปลี่ยนเท่าที่จำเป็น" คือตรงไหนที่ต้องเปลี่ยนก็เปลี่ยน ตรงไหนที่ไม่ต้องเปลี่ยน ก็ไม่ต้องไปงงกับมันค่ะ ไล่ดูตามกฏเลย

2. คำสั่งหรือขอร้อง - ให้ตามกฏเพียง 4 ข้อ มีอยู่ข้อเดียวที่ไม่ต้องทำคือ "การย้อนกาลเวลา" (Shifting Tenses) 
    มีอยู่ 2 รูปแบบ คือ 2.1 ให้ทำ (to do) วิธีการคือ ให้เติม "to" หน้ากริยาที่ขึ้นต้นคำสั่งนั้น
                                  2.2  ไม่ให้ทำ (Not to do) จุดสังเกตของประโยคนี้คือ จะมีคำว่า "Don't" ใน Direct Speech ให้แทนตำแหน่งที่ Don't อยู่ ด้วย คำว่า "not to"

3. คำถาม แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบคือ Yes/No questions กับ Wh-questions

   3.1 Yes/No (คำถามที่ถามแล้วตอบได้แค่ Yes หรือ No) จะเป็นคำถามที่ขึ้นด้วย กริยาช่วยทั้งหมด
         มีวิธีการทำดังนี้
         1. เพิ่ม if หรือ whetherหน้าประธานตัวที่ 2 ใน indirect speech
         2. เรียงประโยคใหม่เป็นรูปแบบของประโยคบอกเล่า (เพราะตอนแรกเป็นรูปแบบประโยคคำถาม)
         3. ตามกฏทั้ง 5 ข้อ ในบล็อกก่อนหน้านี้

   3.2  Wh-questions จะเป็นคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Wh-question ทั้งหมด
          มีวิธีการดังนี้
         1. คง Wh-word ไว้ที่เดิม
         2. เรียงประโยคใหม่เป็นรูปแบบของประโยคบอกเล่า (เพราะตอนแรกเป็นรูปแบบประโยคคำถาม)
         3. ตามกฏทั้ง 5 ข้อ ในบล็อกก่อนหน้านี้

 หลักจริงๆ มีเท่านี้แหละค่า แต่รายละเอียดที่ต้องไปศึกษาเพิ่มเติมจะมีค่อนข้างเยอะ (สำหรับใครที่ยังไม่แม่นเรื่องโครงสร้าง) สู้ๆ นะค้าาาา :)