Monday, December 10, 2012

รูปแบบประโยค (Sentence Patterns)

สำหรับภาษาอังกฤษนั้น ประโยคหนึ่งประโยคมีองค์ประกอบหลักอยู่สองตัวคือ ประธาน (Subject) และกริยา (Verb) อย่างเช่น I swim. = ฉันว่ายน้ำ ก็ถือเป็นประโยคหนึ่งประโยคที่มีใจความสมบูรณ์ อ่านแล้วเป็นที่เข้าใจได้ว่า ประธานกระทำกริยาอะไร แต่เนื่องจากว่า ประโยคพื้นฐานในภาษาอังกฤษมีอยู่ 5 รูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบก็จะมีความต่างกันออกไป สามารถอธิบายได้ ดังนี้

S = Subject = ประธาน
V = Verb = กริยา
O = Object = กรรม

1. S + Intransitive V. 

Intransitive V. หมายถึงกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ เมื่ออ่านประโยคแล้วมีใจความสมบูรณ์ ทราบว่าประธานกระทำอะไร โดยจะขอยกตัวอย่างจากประโยค I swim. ซึ่ง swim ถือเป็น intransitive v. เพราะเมื่อแปลประโยคแล้ว มีความสมบูรณ์ในตัว จบในอารมณ์ความรู้สึก ไม่ค้างคาใจ แต่นอกจากว่า เราจะอยากอธิบายเพิ่มเติมว่า ว่ายน้ำเป็นอย่างไรบ้าง ว่ายเร็วหรือว่ายช้า เราก็สามารถเพิ่ม adverb (กริยาวิเศษณ์) ลงไปได้ เช่น I swim slowly. = ฉันว่ายน้ำช้า หรืออยากจะบอกว่า ว่ายน้ำเมื่อไหร่ I swam last week. = ฉันว่ายน้ำอาทิตย์ที่แล้ว หรือว่ายที่ไหน I swim in the pool. = ฉันว่ายน้ำในสระว่ายน้ำ 

2. S + Transitive V. + Direct O.

Transitive V. หมายถึง กริยาที่ต้องการกรรมมารองรับ 
Direct O. หมายถึง กรรมตรง คือ กรรมที่โดนกระทำจากประธานโดยตรง
(Direct = ตรง)
ถ้าถามว่าเราจะรู้ได้ยังไงว่ากริยาตัวไหนจะต้องการกรรมหรือไม่ต้องการกรรม วิธีการง่ายคือ ถ้าแปลมาแล้วอ่านแค่ประธานกับกริยาจะรู้สึกไม่จบในความรู้สึกว่า อ่าว แล้วยังไงต่อล่ะ  อย่างเช่น I meet. = ฉันพบ  เอ๊ะ... แล้วพบอะไรหรือพบใครล่ะ หรือ I love. = ฉันรัก เอ๊ะ... แล้วรักอะไรหรือรักใครล่ะ แต่ถ้าเราเติม
I meet your sister. = ฉันพบพี่สาว/น้องสาวของคุณ
I love you husband. = ฉันรักสามีของคุณ
เมื่อเติมกรรมไปแล้วว่าเจอใคร หรือรักใคร อ่านแล้วแปลความหมายออกมา ก็เข้าใจว่าประธานกระทำกริยาอะไรกับใครหรือสิ่งไหน มีใจความสมบูรณ์

3. S + V. to be/ Linking V. + completer (Adj., N.)

ในส่วนของ v. to be หรือ linking v. นั้นให้เป็นที่เข้าใจได้เลยว่า กริยาทั้งสองตัวนี้ทำหน้าที่ได้เหมือนกัน ในส่วนของการเป็นกริยาที่จะเชื่อมประธานเข้ากับส่วนเติมเติม คำว่า"ส่วนเติมเต็ม" เป็นส่วนที่ไปเติมเต็มให้ประธานมีความหมายสมบูรณ์มากขึ้น เมื่ออ่านและแปลแล้ว จะทราบว่าประธานมีลักษณะ อารมณ์ รูปร่างท่าทางเป็นอย่างไร หรือประธานเป็นอะไร

Jack is a victim. = แจ็คเป็นเหยื่อ
Jack looks sad. = แจ็คดูเศร้า

4. S + v. to be + Adverbial

โดยadverbial ที่ใช้คู่กับ v.to be ได้นั้น คือ manner = อาการท่าทาง, place = สถานที่, time = เวลา
He is here. = เขาอยู่ที่นี่

5. S + Transitive V. + IO (Indirect Object) + DO (Direct Object)

Indirect Object = กรรมรอง
โดยถ้ามีกรรมตรงและกรรมรองอยู่ในประโยคพร้อมกัน
กรรมตรงจะเป็นสิ่งของ และ กรรมรองจะเป็นคน
I sent Jane a gift. = ฉันส่งของขวัญให้กับเจน
(I sent a gift to Jane)


Thursday, November 22, 2012

Compound Sentence (ประโยคความรวม)


Compound Sentence  คือ ประโยคความรวม หรือ ประโยคผสม  โดย compound แปลว่า สิ่งที่เกิดจากองค์ประกอบสองส่วนขึ้นไป ประโยคความรวม ประกอบด้วย Independent clause อนุประโยคที่เป็นอิสระ สองหรือมากกว่าอนุประโยคขึ้นไป

            Independent clause หมายถึง อนุประโยคที่เป็นอิสระที่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง สามารถอยู่ตามลำพังได้ (ไม่จำเป็นต้องมีอนุประโยคอื่นมาขยาย เมื่ออ่านแล้ว เข้าใจเลยว่า ประธานกระทำกริยาอะไรในประโยค) มีตำแหน่งเทียบเท่ากับ ประโยคทั่วไปคือ simple sentence คือประกอบด้วย  ประธานและกริยา เป็นหลัก  

                Independent clauses นำมารวมกันได้ 2 วิธีคือ ใช้คำเชื่อมประสาน Coordinating Conjunctions และ เครื่องหมายอัฒภาค คือ เครื่องหมายแยกข้อความ  

                ประโยคความรวมไม่สามารถมี subordinate clauses ได้  subordinate clauses หมายถึง อนุประโยคที่เป็นส่วนขยาย ไม่สามารถอยู่ตามลำพังได้ มีความหมายไม่สมบูรณ์ในตัวเอง จำเป็นต้องไปทำหน้าที่ขยายใจความของประโยคหลักให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

                Coordinating Conjunctions คำสันธานประสาน หรือคำเชื่อมประสาน สามารถใช้เชื่อมประธานกับประธาน วลี กับ วลี หรือ ประโยคกับประโยคก็ได้  ซึ่งมีทั้งหมด 7 คำดังนี้

            for= เพื่อ, สำหรับ แสดงเหตุผล เพื่อเสริมประโยคที่มาก่อน            
                He comes here for a meeting.  เขามาที่นี่เพื่อการประชุม
           
            and = และ ใช้เชื่อมข้อความที่คล้อยตามกันทำหน้าที่เชื่อมคำที่เป็นชนิดเดียวกัน เช่นกริยากับกริยา 
                            คำนามกับ  คำนาม           
            I love Pranee and Pongsee.

            nor = และ...ไม่  ใช้เชื่อมข้อความที่คล้อยตามกัน ในเชิงปฏิเสธ    
                 Somkiet is neither rich nor handsome.

             
                 but = แต่ ใช้เชื่อมข้อความที่ขัดแย้งกัน             
                 The car is nice, but it is too expensive.             

                 or= หรือ ใช้เชื่อมข้อความที่ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง             
                 You can have a sandwich or fried rice for lunch.         

                 yet= แต่  ใช้เชื่อมข้อความที่ขัดแย้งกัน              
                 He seems happy, yet he never smiles.

                 so = ดังนั้น ใช้เชื่อมข้อความที่แสดงความเป็นเหตุเป็นผลกัน         
                  John hates traffic jams, so he decided not to study in Bangkok .
             
                 

Sunday, August 19, 2012

Past Progressive (Past Continuous)

Past Progressive หรือ Past Continuous ก็คือกาลเวลาตัวเดียวกันค่ะ แค่ชื่อเรียกต่างกัน

กาลเวลานี้จะใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในอดีต ซึ่งสามารถใช้กับเหตุการณ์ในอดีต 2 เหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่พร้อมๆกัน ณ เวลาเดียวกันก็ได้ หรือจะใช้คู่กับ Past Simple โดยที่เหตุการณ์ที่เกิดก่อนและกำลังดำเนินอยู่นั้นเป็น Past Cont. และมีเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดแทรกขึ้นมาทันที ซึ่งเหตุการณ์ทีเกิดแทรกขึ้นมานี้จะใช้ Past Simple ค่ะ

จะมีโครงสร้างดังต่อไปนี้

Positive: S + was/were + V.ing
Question (Interrogative): Was/Were + S + V.ing?
Negative: S + was/were + not + V.ing

คำบอกเวลาหลักๆ ก็จะมี while กับ when ค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการแปลประโยคได้ด้วยเช่นกัน เพื่อที่จะทราบได้ว่า เหตุการณ์ใดกำลังดำเนินอยู่และเหตุการณ์ใดที่น่าจะเกิดแทรกขึ้นมาค่ะ

ถ้าใครอ่านบล็อกของ Past Perfect แล้วก็จะเห็นว่า ทั้ง Past Perfect และ  Past Cont. ที่ใช้คู่กับ Past Sim. นั้น จะเกิดขึ้นก่อน Past Sim. ทั้งสองตัวค่ะ แต่Past Perfect เกิดก่อนและจบไปแล้ว Past Sim. ถึงเกิดตาม ส่วน Past Cont. นี้เกิดก่อนและกำลังดำเนินอยู่ Past Sim. จะเกิดแทรกขึ้นมาค่ะ

Past Perfect Tense

การใช้กาลเวลานี้ จะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสมบูรณ์แล้วในอดีตและจบลงไปแล้ว ถ้าใครเกิดคำถามในใจว่า อ้าว! แล้วมันต่างกับ Past Simple ยังไง เพราะ Past Simple ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและได้จบลงไปแล้วเหมือนกัน

ก่อนที่จะบอกความแตกต่างให้นั้น ขอให้ทุกคนเข้าใจให้ตรงกันก่อนค่ะ ว่าคุณลูกทั้งสี่คนคือ น้องซิม (Simple) น้องคอนท์ (Continuous) น้องเพอร์ (Perfect) และน้องเพอร์คอนท์ (Perfect Cont.) นั้น มีช่วงระยะเวลาสั้น-ยาว เรียงลำดับกันอยู่แล้ว คือซิมจะมีการกระทำที่สั้นที่สุด คอนท์จะยาวกว่าซิม คือมีการกระทำต่อเนื่องแต่ก็ไม่ได้นานเท่าเพอร์ คือเพอร์จะยาวกว่านานกว่า ส่วนเพอร์คอนท์นั้นก็จะยาวกว่าเพอร์ และเป็นตัวที่มีการกระทำกริยาที่นานที่สุด

เพราะฉะนั้น ความแตกต่างของ Past Perfect กับ Past Simple คือ ระยะเวลาในการกระทำกริยาของPerfect จะยาวกว่า เท่านี้ค่ะ

ซึ่งสองกาลเวลานี้ สามารถใช้คู่กันได้ โดยที่ Past Perfect เป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อน และ Past Simple จะเกิดตามมาภายหลังค่ะ

รู้จักการใช้ไปแล้วก็มาดูโครงสร้างกันนะคะ

Positive: S + had + V.3
Question (Interrogative): Had + S+ V.3?
Negative: S + had + not + V.3

ส่วนคำบอกเวลาใน Tense นี้นั้นก็จะเป็นพวกที่บอกลำดับเวลาก่อนหลังเช่น when , before , after , until , as soon as ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอาศัยการแปลความหมายประโยคได้ด้วยค่ะว่าเหตุการณ์ไหนมาก่อนหรือหลัง
จึงจะสามารถใช้กาลเวลาได้ถูกต้องค่ะ 

สรุปว่า สำหรับกาลเวลานี้ ถ้าสามารถแปลประโยคได้จะดีที่สุดค่ะ :) 

Thursday, July 19, 2012

วิธีการสังเกตข้อสอบปรนัยเรื่อง Noun and Pronoun

มาเริ่มกันที่เรื่องคำนามกันก่อนนะคะ  สำหรับเรื่องคำนามนี้ จริงๆแล้วค่อนข้างกว้าง แต่หลักๆที่ต้องรู้คือ คำนามที่เป็นเอกพจน์ ถ้าจะทำให้เป็นพหูพจน์มีกฏอย่างไรบ้าง หรือคำนามตัวไหนที่เป็นคำนามนับได้ หรือเป็นคำนามนับไม่ได้บ้าง เนื่องจากคำนามที่นับไม่ได้นั้นไม่สามารถทำให้เป็น พหูพจน์ ได้  นั่นหมายถึงว่า ห้ามมีการเติม -s หรือ -es ใดๆทั้งสิ้น (ในกรณีถ้ามีตัวเลือกลวงเรา โดยเอาคำนามนับไม่ได้มาเติม - s เราก็จะรู้ทันทีว่าตัวเลือกข้อนั้นผิด)

เรื่องคำนามนับได้ที่มีพจน์เป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ และคำนามนับไม่ได้ จะเชื่อมโยงกับเรื่องการสังเกตคำเหล่านี้ค่ะ เช่น There is, There are, many, much, some  เป็นต้น

เช่นทั้ง There is, There are นั้นแปลว่า "มี" เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่
There is + นามนับได้เอกพจน์ และ คำนามนับไม่ได้
There are + นามนับได้พหูพจน์

many, much แปลว่า "มาก" เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่
many + นามนับได้พหูพจน์
much + นามนับไม่ได้

some แปลว่า "บาง,บ้าง" นามที่ตามหลัง some จะเป็น คำนามนับได้พหูพจน์ และ คำนามนับไม่ได้

เพราะฉะนั้น นอกจากจะมีความรู้เรื่องชนิดและพจน์ของคำนามแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องรู้ด้วยค่ะว่า
นามที่ตามหลังคำเหล่านั้นต้องเป็นคำนามประเภทไหน พจน์ไหน

ส่วนเรื่องคำสรรพนาม สังเกตตำแหน่ง และอาจจะต้องใช้ความสามารถในการแปลบ้าง (เท่าที่คิดนะคะ ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ)

Subject Pron. อยู่หน้ากริยา
Object Pron. อยู่หลังกริยา
Possessive Pron. ตำแหน่งจะอยู่หน้าหรือหลังกริยาก็ได้ค่ะ แต่สำหรับตัวนี้ ให้ดูในประโยคก่อนหน้า (ถ้ามี) ที่เกี่ยวกับการแสดงความเป็นเจ้าของอยู่ แต่ถ้าประโยคก่อนหน้าประโยคโจทย์ไม่มีคำใดๆที่บอกถึงการแสดงความเป็นเจ้าของเลย ต้องอาศัยการแปลความหมายได้ช่วยในการตัดสินใจที่จะตอบด้วยค่ะ
 (นี่สรุปจากแบบฝึกหัดกับตัวอย่างในหนังสือมานะคะ) 
Reflexive Pron. ตำแหน่งอยู่หลังกริยา หรือหลังคำว่า by ค่ะ (นี่สรุปจากแบบฝึกหัดกับตัวอย่างในหนังสือเหมือนกันค่ะ)

ก็ตามนี้เลยแล้วกันนะค้า สู้ๆค่า :)

Wednesday, July 18, 2012

หลักการทำแบบฝึกหัด/ข้อสอบส่วนคำศัพท์


การทำข้อสอบส่วนของคำศัพท์ ส่วนใหญ่ จะวัดในเรื่อง
                1. ความหมายของคำศัพท์ที่เติมลงในประโยคแล้ว ทำให้ประโยคมีความหมายมากที่สุด ซึ่งโจทย์ต้องการวัดความรู้ในเรื่องความหมายคำศัพท์เพียงอย่างเดียว เช่น

                                __________ is essential for our body system.

                                ตรงช่องว่างที่เว้นว่างไว้ เป็นตำแหน่งของ “ประธาน” (Subject) ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ชนิดของคำที่ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยคคือ “คำนาม” (Noun) และในตัวเลือกจะมีแต่ตัวเลือกที่ทำหน้าที่เป็นคำนามเท่านั้น

                a. Oxygen            b. Acid                  c. Light                  d. Fire
                               
                                ตัวเลือกทั้ง 4 ข้อ ทำหน้าที่เป็นคำนามนับไม่ได้ทั้งหมด ซึ่งต้องใช้กับกริยารูปเอกพจน์ ซึ่งในประโยคเป็นคำว่า “is เป็นส่วนที่โจทย์กำหนดมาให้ถูกต้องอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องเข้าใจคือ ความหมายของประโยคโจทย์และตัวเลือกคืออะไร จึงจะสามารถเลือกเติมคำได้ถูกต้อง ซึ่งคำตอบที่ถูกต้องคือ ข้อ a.
                               
                2. ความหมายของคำศัพท์ และ ชนิดของคำศัพท์ เช่น

                                Acid is __________ for our body system.
                               
                                ตรงช่องว่างที่เว้นว่างไว้ เป็นตำแหน่งของ “คำคุณศัพท์” (Adjective) ข้อสังเกต คือ คำคุณศัพท์จะอยู่หลัง v.to be หรือบางครั้ง อยู่หลัง linking v. แต่ในกรณีนี้ ให้สังเกตที่ v. to be คือ is  
                หมายเหตุ คำอธิบายนี้ ไม่รวมถึงการใช้คำคุณศัพท์หรือการใช้V. to be ในกรณีอื่นๆ ซึ่งอาจารย์ใช้การอธิบายในทำโจทย์ตัวอย่างเท่านั้น หมายถึงว่า เด็กๆต้องไปศึกษาเรื่องการใช้และตำแหน่งของคำคุณศัพท์ และการใช้v. to be ในแต่ละtense และ voice เพิ่มเติม

                a. useful               b. dangerous     c. bravely             d. usefully
               
                                จากตัวเลือกทั้ง 4 ข้อ จะเห็นได้ว่า ตัวเลือกข้อ c และ d ชนิดของคำคือ คำวิเศษณ์ (Adverb) เพราะฉะนั้น จะสามารถตัดตัวเลือกสองข้อนี้ออกไปได้เลย ซึ่งตัวเลือกข้อ a และ b ทำหน้าที่เป็น คำคุณศัพท์ทั้งสองคำ ซึ่งก่อนจะเติมคำลงไปในประโยคให้ถูกต้อง จะต้องทราบก่อนว่าประโยคโจทย์และตัวเลือกที่เหลืออยู่ 2 ข้อ หมายถึงอะไร  ซึ่งคำตอบที่ถูกคือ ข้อ b.

                3. ความหมายของคำศัพท์ ชนิดของคำศัพท์ และไวยากรณ์ เช่น

                                Junk food can ___________ the people’s health.
               
                                ตรงช่องว่าง จะต้องเติม “V. infinitive” สังเกตได้จากคำว่า can ซึ่งเป็น Modal v. หรือ v. ช่วยอีกชนิดหนึ่ง ซึ่ง Modal v. ต้องตามด้วย V.infinitive  

                a. go                      b. serious            c. damage           d. damages

                                จากตัวเลือกทั้ง 4 ข้อ จะเห็นได้ว่า สามารถตัดข้อ b. และ d. ออกไปได้เลย เนื่องจากข้อ b.เป็นคำคุณศัพท์และ damage เติม s ไม่ใช่ v.infinitive แต่เป็นกริยาช่องที่ 1 ที่เติม s เนื่องจากประธานของประโยค (Junk food) เป็นคำนามนับไม่ได้ ซึ่งถ้าใครไม่ทราบกฎการใช้กริยาที่ตามหลัง modal v. (can) ก็อาจจะถูกลวงให้ตอบข้อd. ได้ ก็จะเหลือข้อ a. และ c. ซึ่งก็ต้องมาวัดกันในเรื่องของความหมาย ซึ่งข้อที่ถูกต้องคือข้อ c.

                สรุปคือ ในการทำข้อสอบคำศัพท์ การรู้คำศัพท์มากจะได้เปรียบในการทำข้อสอบ แต่ถ้ารู้คำศัพท์มากแต่ไม่รู้ชนิดของคำ ในบางครั้งก็อาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ และถ้ารู้คำศัพท์มาก รู้ชนิดของคำ แต่ไม่มีความรู้เรื่องไวยากรณ์ก็ทำให้เกิดความผิดพลาดได้เช่นกัน

                หมายเหตุอีกรอบ ข้อมูลเหล่านี้ที่สรุปจากประสบการณ์ที่ได้สอนมา ซึ่งในข้อ 2 ที่เป็นการวัดความหมายของคำศัพท์ และ  ชนิดของคำ อาจจะเพิ่มเติมหลังชนิดของคำไว้ว่า “หรือไวยากรณ์” ไว้ด้วย  เพราะในบางครั้ง โจทย์อาจจะกำหนดมาเพื่อวัดความหมายคำศัพท์และไวยากรณ์ไว้เพียงสองอย่างเท่านั้น  ทั้งนี้ทั้งนั้น การสรุปให้เห็นคร่าวๆ นี้ มีจุดประสงค์เพื่อให้เด็กๆเห็นว่า การที่จะทำข้อสอบในส่วนของคำศัพท์ได้นั้น จะต้องมีความรู้อะไรบ้าง  

วิธีการสังเกตชนิดของคำที่ต้องเติมในช่องว่างในการทำแบบฝึกหัดวัดคำศัพท์ (2)

กลับมาแล้วค่า... มาต่อกันเลยละกันน้า 

คราวแล้วเป็นเรื่องของคำนามนะคะ บล็อกนี้ก็จะเป็นตำแหน่งของกริยา (verb) คำคุณศัพท์ (adjective) และคำวิเศษณ์ค่ะ (adverb)

ตำแหน่งที่คำกริยาอยู่ ก็ง่ายๆค่ะ หลังประธาน เป็นหลักค่ะ 
ถ้ามีคำถามในใจว่า อยู่หน้ากรรมได้มั๊ย ตอบว่า ได้ค่ะ แต่มันไม่ชัวร์ 
เพราะอะไร? หลังกริยาบางทีก็ไม่ได้เป็นกรรมเสมอไปนะคะ 
บางทีหลังกริยา ก็จะเป็น คำบุพบทบ้าง เป็นคำวิเศษณ์บ้างค่ะ 
ถ้าสังเกตตำแหน่งประธานเป็นก็จะชัวร์ที่สุดค่ะ 

ต่อไปก็ตำแหน่งของคำคุณศัพท์ ก็จะอยู่
1. หน้าคำนาม 2. หลัง v.to be หรือ linking v. 3. หลัง คำวิเศษณ์ 

สุดท้ายก็เป็นตำแหน่งของคำวิเศษณ์ โดยทั่วไปก็จะอยู่
1. หลังกริยา   2. หลังกรรม  3. หน้าคำคุณศัพท์ 

ในกรณีที่เป็นคำวิเศษณ์ที่บอกเรื่องเวลา ก็จะอยู่
 4. อยู่หน้าสุดของประโยค  5. อยู่หลังสุดของประโยค 

ในกรณีที่เป็นคำวิเศษณ์ที่บอกเรื่องความถี่ ก็จะอยู่
6. หลังประธาน  7. หลัง v. to be    8. หลัง v. ช่วย

เรื่องตำแหน่งของคำวิเศษณ์จะค่อนข้างเยอะหน่อยค่ะ
โดยเฉพาะเรื่องของ v. ช่วย (helping v.) ถ้าใครยังไม่เข้าใจว่า 
คืออะไร ก็สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ทั้งในบล็อกนี้ ซึ่งได้เขียนไว้แล้วใน
บล็อกอันแรกๆค่ะ ลองไปหาอ่านดูนะคะ แต่ถ้าไม่อยากอ่านในบล็อกนี้
ก็ไปค้นใน google เพิ่มเติมเองก็ได้ค่ะ 

ถ้ามีอะไรอยากแนะนำหรือมีข้อสงสัยสอบถามทิ้งไว้เลยได้เลยนะคะ
ยินดีรับฟังและตอบข้อซักถามค่ะ :) 

Sunday, June 24, 2012

วิธีการสังเกตชนิดของคำที่ต้องเติมในช่องว่างในการทำแบบฝึกหัดวัดคำศัพท์ (1)

โหว... ห่างหายมานาน... ไม่รู้ว่ามีคนติดตามอ่านรึเปล่าน้อ... ไม่เพ้อดีกว่านะคะ เริ่มกันเลยดีกว่า

ถ้าใครอ่านชื่อเรื่องบล็อกนี้แล้วงงว่า ทำไมต้องมี วงเล็บแล้วมีเลขหนึ่งอยู่ด้วย คำตอบคือ คิดว่าเขียนบล็อกเดียว ทีเดียวอาจจะยาวไปค่ะ กว่าจะอ่านเสร็จ คงเหนื่อยกันเลยทีเดียว ก็เลยเแยกบล็อกให้ค่ะ

สำหรับเรื่องที่กำลังจะได้อ่านกันต่อไปนี้ เป็นการรวบรวมจากประสบการณ์ในการเห็นข้อสอบและการทำข้อสอบ รวมถึงเวลาที่เตรียมการสอนและพยายามหาวิธีที่จะสามารถเป็นทางลัด (ได้อีกทางหนึ่ง) ซึ่งจริงๆแล้ว จากใจค่ะ ส่วนตัวไม่ค่อยชอบวิธีนี้เท่าไหร่ เพราะมันเหมือนไม่ได้วัดความรู้ทางคำศัพท์จริงๆ เพราะถ้าพูดถึงคำศัพท์ แสดงว่าต้องรู้ความหมายถึงจะสามารถนำคำไปเติมได้ถูกต้องใช่มั๊ยคะ แต่วิธีการที่เสนอนี้ เหมือนเป็นการลักไก่น่ะค่ะ ในกรณีที่เป็นแบบฝึกหัดหรือข้อสอบแบบมีตัวเลือกให้

ซึ่งหลักๆแล้วเป็นการสังเกตอยู่สองอย่างคือ ชนิดของคำ และ ตำแหน่งที่คำนั้นอยู่ค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอาศัยการทำแบบฝึกหัดหรือไปหาข้อสอบมานั่งทำบ่อยๆ ค่ะ ... เริ่มกันเลยนะคะ

จะขอเริ่มจาก "คำนาม" (noun) ซึ่งตำแหน่งของ น้องนาว ของเรานี้ มีข้อสังเกตค่อนข้างเยอะค่ะ

ตำแหน่งที่หนึ่งคือ อยู่หน้าประโยคหรือขึ้นต้นประโยคหรืออยู่หน้ากริยาค่ะ  เพราะหน้าที่ของคำนามสามารถเป็นประธาน (Subject)ของประโยคได้ค่ะ

ตำแหน่งที่สอง คือ อยู่หลังกริยา ทำหน้าที่เป็นกรรม (Object)ของประโยคค่ะ

ตำแหน่งที่สามคือ อยู่หลัง คำนำหน้านาม (Article) a, an, the

ตำแหน่งที่สี่คือ อยู่หลังคำคุณศัพท์ (Adjective)


ตำแหน่งที่ห้าคือ อยู่หลังคำบอกจำนวนที่ไม่เฉพาะเจาะจงหรือที่เรียกว่า Indefinite Adjective เช่น some, any, many, much, few, a few, little, a little เป็นต้น


ตำแหน่งที่หกคือ อยู่หลังคำบุพบท (Preposition) 


เนี่ยแหละค่ะ ที่พอสรุปได้จากประสบการณ์คือประมาณนี้ และตามความคิดคือ วิธีนี้น่าจะใช้ได้ผลกับเด็กที่อ่านออกและรู้คำศัพท์และรู้ชนิดของคำศัพท์นั้นบ้าง  คือยังไงหลักๆก็ต้องอ่านออกค่ะ เพราะถ้าอ่านไม่ออก เราจะไม่มีทางรู้เลยว่า เรากำลังเรียนรู้หรือศึกษาเรื่องอะไรอยู่  ในส่วนที่ลงท้ายด้วยคำว่าบ้าง เพราะถ้าเป็นเด็กที่ทั้งอ่านออกและรู้คำศัพท์เยอะๆ ส่วนใหญ่ก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ ไม่ต้องใช้ข้อสังเกตนี้ก้ได้ แปลแล้วเลือกคำลงอย่างเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องอาศัยความตั้งใจและความสม่ำเสมอในเรื่องของการพัฒนาตัวเองอยู่แล้วค่ะ ยิ่งเราทำบ่อย ทำเยอะ ทำเป็นประจำ เราจะพัฒนาเร็วค่ะ ...

อีกอย่างหนึ่งก็คือ ถึงเด็กคนไหนที่มาอ่านบล็อกนี้แล้ว ท่องได้หมดว่า ตำแหน่งของคำนามสามารถจะอยู่ตรงไหนได้บ้าง แต่ไม่รู้จักว่าคำคำนี้คือคำคุณศัพท์ ไม่รู้จักว่า คำคำนี้ คือคำบุพบท ก็ไม่สามารถที่จะใช้หลักการสังเกตนี้ได้เหมือนกันค่ะ เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าใครรู้ตัวเองว่า พื้นฐานความรู้ภาษาอังกฤษยังไม่อยู่ในระดับที่จะเรียนรู้เรื่องพวกนี้ ต้องขยันกันหน่อยแล้วค่ะ ... ไม่มีคำว่า"ทำไม่ได้" สำหรับคนที่ตั้งใจแล้วก็พยายามอย่างเต็มที่หรอกนะคะ ... อะไรก็เป็นไปได้ค่ะ ขอแค่ใจเราเชื่อและลงมือทำจริงๆ ... เป็นกำลังใจให้ค่ะ


Sunday, June 10, 2012

‎The Difference between House and Home (ความแตกต่างระหว่างคำว่า house กับ home)

สองคำนี้แปลความหมายได้เหมือนกันคือบ้าน แต่house เน้น บ้านที่เป็นสิ่งปลูกสร้าง ส่วน home นั้น เน้นความรัก ความอบอุ่นที่คนในครอบครัวมีให้กัน เลยทำให้เกิด "บ้าน" ที่มีความหมายลึกซึ้ง กว่าบ้านที่สร้างไว้เฉยๆค่ะ ... เอาง่ายๆ คำที่แปลว่าคิดถึงบ้าน ภาษาอังกฤษ "homesick" โดยตัวของ sick เอง แปลว่า เจ็บป่วย พอมารวมกับบ้าน เด็กๆคงคิดว่า เอ๊ะ!!! บ้านมันป่วยได้ด้วยหลอ ... ซึ่งจริงแล้ว เราก็รู้กันอยู่แล้วว่า บ้านไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ไม่สามารถกระทำกริยาได้ เพราะฉะนั้นบ้านมันป่วยไม่ได้หรอกค่ะ แต่เป็นคำประสมที่เอามารวมกัน แล้วหมายถึง "โรคคิดถึงบ้าน" นั่นเองค่ะ ... :)

Monday, April 30, 2012

Passive Voice (ประโยคกรรมวาจก) ตอนที่ 2

... ถ้าใครพอจะเข้าใจแล้ว เดี๋ยวเราไปดูสูตรโครงสร้างของ tense อื่นๆพร้อมกันได้เลยนะคะ
บิ้วขอเลือกมาแต่เฉพาะtense ที่มักจะใช้กันบ่อยๆก็แล้วกันนะคะ :)

Present Continuous       +       Passive      =   Present Continuous Passive
S+is/am/are+V.ing         +     be + V.3    =     S+is/am/are+being+V.3
(V. ing ของ V.to be = being)

Present Perfect    +    Passive              =       Present Perfect Passive
S+have/has+V.3  +  be + V.3              =      S+have/has+ been+ V.3

(V. 3 ของ V.to be = been)   

Past Simple    +          Passive              =       Past Simple Passive
S+V.2            +        be + V.3              =      S+was/were+ V.3
  (V. 2 ของ V.to be = was/were)    

Past Continuous       +       Passive           =   Past Continuous Passive
S+was/were+V.ing         +     be + V.3   =      S+was/were+being+V.3
(V. ing ของ V.to be = being)

Past Perfect    +    Passive              =       Past Perfect Passive
S+had +V.3    +  be + V.3              =      S+had+ been+ V.3

(V. 3 ของ V.to be = been)

Future Simple                 +          Passive               =       Future Simple Passive
S+will+V.infinitive           +        be + V.3              =          S+will+be+ V.3
  (V. infinitive ของ V.to be = be)

ตามนี้เลยนะคะ :)

สุดท้ายก็จะได้กล่าวถึงขั้นตอนของการเปลี่ยนประโยคจาก active เป็น passive กันนะคะ
1. ให้ดูกรรมในactive (ดูว่าใคร อะไร หรือสิ่งใดถูกกระทำ)
2. นำกรรมที่ได้จาก active ไปขึ้นต้นประโยคของ passive เพื่อทำหน้าที่เป็นประธาน
3. ดูtense ในactive เพื่อที่จะได้ผันโครงสร้างได้ถูกต้องตาม tense ที่กำหนด (ต้องดูtense ใน active เป็นหลัก)
4. ทราบ tense แล้ว ตอนจะเขียนโครงสร้าง passive ตัวกริยาหลักให้ดูใน active ซึงตัวกริยาหลักนี้ต้องผันเป็น กริยาช่องที่ 3 ทุกครั้งเมื่อเขียนลงในประโยค passive
5. ถ้าทราบว่าถูกกระทำโดยใคร ให้เขียน by หลัง กริยาหลัก แล้วตามด้วยผู้กระทำ (ซึ่่งก็คือ ประธานในประโยคactive)

สิ่งหนึ่งที่ต้องจำไว้เลยว่า ถ้าเป็น Passive ยังไงต้องเป็น V.to be (is, am, are, was, were, been, being, be) ตามด้วย V.3 เสมอเลยนะคะ

ไม่ยากนะคะสำหรับเรื่องนี้ แต่ขอให้แม่นโครงสร้าง แล้วก็กริยาสามช่องค่ะ แล้ววิธีการที่จะทำให้เราแม่นโครงสร้าง ก็แล้วแต่วิธีการของแต่ละคนนะคะ ส่วนใหญ่ก็จะท่องจำกันใช่ป่าวคะ แต่สำหรับบิ้ว การท่องจำ เป็นเพียงความจำระยะสั้นเท่านั้น ถ้าใช้สูตรที่ตัวเองคิดได้ ก็น่าจะดีกว่า แต่การดูแนวทางจากผู้อื่นแล้วนำมาประยุกต์ใช้เป็นวิธีของตัวเองก็เป็นวิธีการที่ดีค่ะ นอกจากนี้แล้วยังต้องอาศัยการฝึกฝนในเรื่องของการทำแบบฝึกหัดบ่อยๆ ค่ะ จะได้ชินตากับรูปประโยคและรูปของกริยาค่ะ ... เหมือนเดิมค่า มีคำถามหรือข้อเสนอแนะอะไร ก็โพสต์ไว้ได้เลยนะค้า :) ขอบคุณมากค่า ...



Passive Voice (ประโยคกรรมวาจก) ตอนที่ 1

เห็นหัวข้อที่แปลภาษาไทยก็ปวดหัวแล้วใช่มั๊ยคะ หุหุ ... เอาเป็นว่า บิ้วก็แปลพอให้เป็นพิธีให้เท่านั้นเองค่ะ
มาทำความเข้าใจกันดีกว่า ว่า Passive Voice คือ อะไร แต่ก่อนที่จะไปรู้จักเค้า บิ้วคงต้องขอแนะนำActive Voice ก่อนแล้วกันนะคะ แต่ก่อนอื่นที่จะรู้จักทั้ง Active และ Passive มาดูคำว่า Voice กันก่อนนะคะ

คำว่า Voice ณ ทีนี้ไม่ได้แปลว่า เสียง นะคะ  แต่มันแปลได้ว่า วาจกในไวยากรณ์ http://dict.longdo.com/search/voice%20

ซึ่งวาจกตัวนี้ ถ้าเป็นคำนาม จะแปลว่า ผู้บอก หรือ ผู้พูด แต่ถ้าเป็นกริยา จะแปลว่า คำบอกหน้าที่ของคำกริยา http://www.online-english-thai-dictionary.com/definition.aspx?data=2&word=%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%81

ทีนี้ก็มาดูกันค่ะ ว่า Active กับ Passive เค้ามีความต่างกันยังไง

Active - ประธานเป็นผู้กระทำกริยา http://dict.longdo.com/search/Active
Passive - เกี่ยวกับกรรมวาจก http://dict.longdo.com/search/passive
                (กรรม - คนหรือสิ่งที่ถูกกระทำ)

ความต่างอยู่ตรงที่คำว่า "กระทำ" โดย Active ประธานกระทำ แต่ Passive ประธานถูกกระทำ
ต่อไป ก็จะได้พูดถึงโครงสร้างของประโยค Passive Voice กันนะคะ
ถ้าอ่านถึงตรงนี้แล้วเกิดคำถามขึ้นในใจว่า แล้วโครงสร้างประโยค Active Voice ล่ะ
คำตอบของบิ้วคือ ก็tense ทั้ง 12 tenses นั่นแหละค่ะ ที่เป็นโครงสร้างของ Active ทั้งหมด
ซึ่งโครงสร้างก็ไม่ได้มีแต่ประโยคบอกเล่า ก็จะรวมถึงคำถามและปฏิเสธด้วยเหมือนกัน
แต่ในบล็อกนี้ บิ้วอยากให้ทุกๆคน เข้าใจโครงสร้างบอกเล่ากันก่อนนะคะ

แน่นอนว่า ถ้า Active มี 12 tenses Passive ก็ต้องมีเหมือนกัน แถมแต่ละ tense ก็มีโครงสร้างทั้ง
บอกเล่า คำถาม และ ปฏิเสธเหมือนกัน อย่างละ 3 โครงสร้าง โหยย มากมายใช่ป่าวคะ
แต่จริงๆแล้ว ไม่มีอะไรยากเลยค่ะ เรื่อง tense เนี่ย บิ้วมีสูตรโครงสร้างบอกเล่าของ Acitve ทั้ง 12 tenses
ไว้แล้ว ในบล็อกอันแรก http://rati-ho.blogspot.com/2011/12/12.html สิ่งที่อยากจะบอกคือ
ถ้าพื้นฐานเรื่องโครงสร้างเราแน่น อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรน่ากลัวค่ะ ถ้าเกิดคำพูดขึ้นในใจว่า
ก็โครงสร้างของตัวเองไม่แน่น ผู้อ่านก็ต้องหาวิธีที่จะพัฒนาตัวเองนะคะ ของแบบนี้สอนกันไม่ได้หรอก
ได้แค่แนะนำ ทุกอย่างอยู่ที่ใจของผู้อ่านเองค่ะ ว่าจะพยายามมากน้อยแค่ไหน

มาเข้าเรื่องโครงสร้างของ Passive กันเลยค่ะ

โครงสร้างยืนพื้นของ Passive คือ v.to be + V.3

ถ้าใครเคยอ่าน หรือยังไม่ได้อ่านบล็อกอันแรก บิ้วแนะนำให้ไปอ่านตรงนั้นก่อนค่ะ เพราะเราจะใช้สูตรเดียวกัน คือการบวก (+) โครงสร้างประโยคเข้าด้วยกัน มาลองทำดูนะคะ

Tenses                                         Active    เปลี่ยนเป็น          Passive ได้ดังนี้ค่ะ

Present Simple                            S + V.1                          S + is/am/are + V.3

โครงสร้าง Present Simple คือ S + V.1  รวมกับ Passive คือ be + V.3

เขียนเป็นสูตรได้ดังนี้ค่ะ               Present Simple        +           Passive
                                                S+ V.1                        +          be + V.3
   เน้นสีม่วงคือ V.1 ใน Present Sim มาชนกับ be (หรือ V. to be) ใน Passive
   V.1 ของ V.to be มีอยู่สามตัว คือ is/am/are

   จึงได้ผลสุดท้ายตามนี้ค่ะ Present Simple Passive = S+is/am/are + V.3

อยากให้ทุกๆคนเข้าใจสูตรตรงนี้ก่อนนะคะ  ... บิ้วคงต้องขอจบเพียงเท่านี้ก่อน เพราะเดี๋ยวจะยาวไป
อยากให้เข้าใจคร่าวๆ เกี่ยวกับความหมายกันก่อน ส่วนเรื่องโครงสร้าง ไว้ไปติดตามอ่านในบล็อกถัดไปกันนะคะ ... ขอบคุณค่า :)
                                                     

Subject -Verb Agreement (การใช้กริยาให้สอดคล้องกับประธาน)

ก่อนจะเข้าเนื้อหา มาดูความหมายของหัวข้อกันก่อนนะคะ 

Subject (S) แปลว่า ประธาน 
Verb (V) แปลว่า กริยา 
Agreement แปลว่า ความสอดคล้องทางไวยากรณ์ http://dict.longdo.com/search/agreement

เพราะฉะนั้น เมื่อนำมารวมกัน ก็จะแปลได้ว่า "ความสอดคล้องกันของประธานและกริยา" 
ถ้าจะถามว่า "ความสอดคล้อง" นี้คืออะไร ก็ต้องมาเข้าใจกันก่อนว่า ประโยคในภาษาอังกฤษนั้น 
ประกอบด้วย S+V ซึ่ง S เป็นเอกพจน์ (มีเพียงหนึ่ง) V ที่ใช้คู่กับประธานตัวนั้นก็ต้องเป็น V ที่เป็นเอกพจน์ หรือถ้า S เป็นพหูพจน์ V ที่ใช้คู่กับประธานตัวนั้นก็ต้องเป็น V ที่เป็นพหูพจน์ (บิ้วเคยได้เขียนเนื้อหานี้คร่าวๆไปแล้วในบล็อกที่ชื่อว่า พจน์ของประธานต้องสัมพันธ์กับพจน์ของกริยา
http://rati-ho.blogspot.com/2012/01/blog-post_07.html) ซึ่งในบล็อกนั้น จะเป็นพวกกริยาที่ทำหน้าที่เป็น V.ช่วย พื้นฐานคือ V. to be, V. to do , V. to have  

ก่อนจะไปเข้าเนื้อหา บิ้วอยากให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับ S และ V ก่อนค่ะ 
เนื่องจาก S ส่วนใหญ่จะเป็นคำนาม ซึ่งคำนาม ถ้ามี s หรือ es แสดงว่า คำนามนั้นเป็นพหูพจน์
ตรงข้ามกับ V โดยถ้า V มี s หรือ es เค้าจะเป็น กริยาที่มีความเป็นเอกพจน์ทันทีค่ะ 
(ทวนกฏโครงสร้างของ Present Simple ก็ได้ค่ะ) 

บิ้วขอแบ่งเนื้อหาออกเป็นสามกลุ่มนะคะ 
กลุ่มที่หนึ่ง - กลุ่มที่ใช้กับ V ที่เป็นเอกพจน์
กลุ่มที่สอง - กลุ่มที่ใช้กับ V ที่เป็นพหูพจน์
กลุ่มที่สาม - กลุ่มที่ใช้กับ V ที่เป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ (แล้วแต่กรณี) 

มาดูกลุ่มแรกกันค่ะ 
กลุ่มที่ใช้กับ V ที่เป็นเอกพจน์ - คำสรรพนามที่ไม่เฉพาะเจาะจง (Indefinite Pronouns), ประธานสองตัวถูกเชื่อมตัวคำว่า or/nor, ประธานที่ขึ้นต้นด้วย จำนวนเงินหรือช่วงระยะเวลา, ประธานที่ขึ้นต้นด้วยชื่อของหนังสือ ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ หรือชื่อโรค 

กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มที่ใช้กับ V ที่เป็น พหูพพจน์ - ประธานสองตัวที่ถูกเชื่อมด้วยคำว่า and 

กลุ่มที่สาม คือ อาจจะใช้กับ V ที่เป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์แล้วแต่กรณี 
ขอแบ่งแบบนี้นะคะ 

หัวข้อ                                         เอกพจน์                                                        พหูพจน์
1. Either...or, Neither...nor
Not only...but also                                   สังเกตที่ประธาน (คำนาม)ตัวที่ 2 

2. Here/There                                          สังเกตที่คำนามหลังกริยาที่อยู่หลัง Here/ There

3. Collective Nouns                 ทุกคนในกลุ่มทำกริยาร่วมกัน                 คนในกลุ่มไม่ทำกริยาร่วมกัน
 (คำนามที่เป็นกลุ่ม)               (ทำกริยานั้นพร้อมกันทุกคน)                         (ต่างคนต่างทำ)
                       ต้องแปลโจทย์ให้ออกค่ะ ว่าประธาน (คำนามที่เป็นกลุ่ม)มีการกระทำกริยาร่วมกันหรือไม่

4.  Relative Pronoun                                 สังเกตคำนามหน้าคำเชื่อม
(คำสรรพนามที่ทำหน้าที่
  เป็นคำเชื่อม) 

5. กลุ่มคำที่เชื่อมด้วยวลี                         สังเกตประธาน (คำนาม)ตัวแรก
 ต่อไปนี้ accompanied by, 
along with, as well as, besides,
but, except, excluding, in addition to,
in company with, including like, not, 
plus, together with

6. ..... number of                       The number of                                               A number of 

7. คำที่บ่งบอกเศษ                                 สังเกตคำนามหลัง of เป็นหลัก
(Portions)

ตามนี้เลยนะค้า :) สงสัยตรงไหนก็โพสต์ถามทิ้งไว้ได้เลยค่ะ หรือมีอะไรแนะนำก็บอกกันได้เลยนะค้า ขอบคุณมากๆเลยนะค้า สำหรับใครที่เข้ามาติดตามบล็อกของบิ้ว :) 



Friday, April 20, 2012

Future Simple

วันนี้ฟิตของจริง... อีกอย่างนึงก็ หลานหลับด้วย หุหุ เลยมีเวลาอัพบล็อก มาต่อกันเลยค๊าบ
คุณ ฟิว ซิม คุณคนนี้ ชอบนึกถึงแต่เรื่องในอนาคตค่ะ มีสองร่างในคนเดียว คือ วิล (will) และ บีหนึ่ง โกอิ้ง ทู (is/am/are going to) คุณวิลเนี่ย โลเล ไม่แน่นอนค่ะ แต่ก็ชอบเสนอตัวช่วยเหลือคนอื่น แล้วก็สัญญาว่าจะทำนู่นทำนี่ให้
ส่่วนคุณ บีหนึ่ง โกอิ้ง ทู เป็นคนตั้งใจทำอะไรแน่นอน มีการวางแผนค่ะ

ทั้งสองร่าง เวลาพูดเล่าเรื่องไปเรื่่อยๆ  จะตามด้วย คุณ อินฟิ เสมอค่ะ (v. infinitve)
แต่เวลาถามเนี่ย คุณวิล จะง่ายหน่อยค่ะ คือ เค้าจะชอบมาอยู่หน้าคุณ เอส ที่เป็นประธาน แล้ว คุณ อินฟิ จะเปลี่ยนใจไปอยู่หลังคุณ เอสแทน เพราะงอนที่คุณ วิลไปอยู่ข้างหน้า
ส่วนคุณ บีหนึ่ง โกอิ้ง ทู เนี่ย คุณ บีหนึ่ง จะไปอยู่หน้าประโยคคนเดียวค่ะ แต่คุณเอส จะตามไปคั่นระหว่าง บีหนึ่ง กับ โกอิ้ง ทู ในร่างนี้ คุณ อิน ฟิ ตามหลัง ทูเหมือนเดิมค่ะ ไม่งอน เพราะทูไม่ได้ทิ้งไปไหน

สุดท้ายคือ เวลาเค้าปฏิเสธเนี่ย  ร่างแรกคือ ร่างคุณวิล คุณ น็อทจะไปอยู่หลังคุณวิลเสมอค่ะ แล้ว คุณ อิน ฟิ ยอมไปอยู่หลัง คุณ น็อท
ร่างที่สอง คือ ร่างของคุณ บีหนึ่ง โกอิ้ง ทู คุณ น็อตจะอยู่หลังคุณ บีหนึ่ง เสมอค่ะ แล้วถึงจะตามด้วย โกอิ้ง ทู แล้วเป็นคุณ อิน ฟิ เหมือนเดิม

เห็นน้องๆ พวกนี้ รู้ได้เลยว่าเป็นคุณ ฟิว ซิมแน่ค่ะ คือ next.... , tomorrow, soon, tonight

สรุปโครงสร้าง
Positive (บอกเล่า)  - S + will + V.infinitive
                                 S + is/am/are + going to + V.infinitive
Interrogative/ Question (คำถาม) - Will + S + V.infinitive?
                                                      Is/Am/Are + S + going to + V.infinitive?
Negative (ปฏิเสธ) -  S + will + not + V.infinitive
                                 S + is/am/are + not + going to + V.infinitive

Past Simple

วันนี้ฟิตๆ มาดูกันต่อที่คุณ พาส ซิม ค่า :)

คุณพาส ซิม ชอบนึกถึงแต่อดีตที่จบไปแล้วค่ะ เกิดขึ้นไปแล้ว สิ้นสุดลงไปแล้วในอดีต

รูปร่างหน้าตา กับการพูดของเค้าก็จะแบ่งได้ตามนี้ค่ะ

ถ้าพูดทั่วๆไป บอกเล่าเรื่องราวทั่วๆไป คุณ พาส ซิม จะเป็น สอง (v.2)
แต่ถ้าถามเมื่อไหร่ ต้องมีคุณ ดิ๊ด (did = v.2 ของ v. to do) มาช่วย แล้วตัวคุณ สอง ก็ต้องแปลงร่างให้เป็น คุณ หนึ่ง (v.1)  ทุกครั้ง
ส่วนเวลาปฏิเสธ คุณ ดิ๊ด (did) ก็มาช่วยอยู่ข้างหน้า คุณ น็อท (not)  แล้วตัวคุณ สอง ที่ตามหลัง
คุณ น็อทมา ก็ต้องแปลงร่างให้เป็น คุณ หนึ่ง (v.1) เช่นกัน

สำหรับคุณพาส ซิม จะมีน้องๆ ไม่กี่คนที่ตามเค้ามาค่ะ  ก็จะมี yesterday, last .... , in ..ปี ค.ศ. .....

สรุปโครงสร้าง 


Positive (บอกเล่า)  - S + V.2
Interrogative/ Question (คำถาม) - Did + S + V1?
Negative (ปฏิเสธ) - S + did + not + V.1


Present Perfect

แหะๆ ... เบี้ยวมาหลายวันเกิน เดี๋ยววันนี้มาดูคุณ เพรส เพอ (Present Perfect) ต่อกันนะคะ

ก่อนอื่นก็ต้องมารู้จักนิสัยของคุณ เพรส เพอ กันนะคะ  คุณเพรสเพอเนี่ย เป็นคนมีนิสัยสามนิสัยอยู่ในตัวคนๆเดียวค่ะ
ข้อแรกเลย เค้าเป็นคนที่ชอบทำอะไรใช้ระยะเวลาค่ะ ถ้าทำอะไรก็ทำอะไรตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ข้อสองคือ เค้าเป็นคนที่ชอบคิดถึงประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตของเค้าค่ะ ว่าเคยทำ หรือไม่เคยทำอะไรมาบ้าง
ข้อที่สามคือ เค้าเป็นคนที่ชอบคิดถึงสิ่งที่ "พึ่งเริ่มทำ" หรือ "พึ่งทำเสร็จ" ไป

ต่อมาก็จะเป็นรูปร่างหน้าตา และลักษณะการพูดของเค้านะคะ

ถ้าพูดประโยคบอกเล่า คุณเพรส เพอ ต้องมี คุณ แฮฟหนึ่ง (v.ช่อง 1ของ v. to have) นำหน้า คุณ สาม (v.3)
แต่ถ้าเป็นประโยคคำถาม คุณ แฮฟหนึ่ง จะอยู่หน้าสุด คั่นด้วยคุณ เอส (S= Subject) ก่อน แล้วถึงตามด้วย คุณ สาม
สุดท้ายคือประโยคปฏิเสธ คุณ น็อท (not) จะอยู่หลัง คุณ แฮฟหนึ่ง เสมอค่ะ

สุดท้ายคือ ถ้าคุณเพรส เพอไปไหน แล้วเราจะรู้ได้ทันทีว่าเป็นเค้า เพราะอาจจะมีน้องๆพวกนี้อยู่กับเค้าค่ะ
already, for, since, just, ever, never, recently, yet, up to the present time, until now, so far

สรุปโครงสร้าง
Positive (บอกเล่า)  - S+ have/has + V
Interrogative/ Question (คำถาม) - Have/Has + S+ V.3?
Negative (ปฏิเสธ) - S + have/has + not + V.3

Friday, April 13, 2012

Present Continuous

ถ้าพูดถึงคุณเพรส คอนท์ ให้เรานึกเสมอๆเลยนะคะว่า เค้าเป็นคนที่ชอบกระทำกริยาในขณะที่กำลังกล่าวถึงอยู่

รูปร่างของเค้าเวลาพูดถึงประโยคบอกเล่า จะประกอบด้วย ประธาน (S) ตามติดด้วย บีหนึ่ง (V. ช่อง 1 ของ v. to be = is, am, are) และ อิ้ง (V. เติม ing) จะตามติดหลัง บีหนึ่งอีกทีนึงค่ะ

แต่เวลาพูดคำถามเนี่ย บีหนึ่ง เค้าจะมาอยู่หน้าประธานเสมอๆ  ก็เลยทำให้อิ้งได้อยู่หลังประธานแทนค่ะ

ในเวลาที่เค้าต้องการจะปฏิเสธ ก็จะมีคุณ น็อท (not) จะไปอยู่หลัง บีหนึ่ง ก่อนหน้า อิ้งค่ะ ซึ่งบีหนึ่งก็ตามติดหลังประธานเหมือนเดิมนะคะ

น้องๆ ที่มักจะอยู่กับคุณเพรส คอนท์เสมอๆ คือ now, right now, at the moment, at the present time

สรุปโครงสร้าง


Positive  - S + is/am/are + V.ing
Interrogative (Question) - Is/Am/Are + S + V.ing?
Negative - S + is/am/are + not + V.ing

Thursday, April 12, 2012

Present Simple Tense

จริงๆแล้ว เรื่อง tense บิ้วขึ้นโครงสร้างบอกเล่าคร่าวๆให้ครบทุกtense ไปแล้วนะคะ ในบล็อกอันแรก ...

Present Simple หรือบางตำรา อาจจะเรียกว่า Simple Present ก็คือตัวเดียวกันนั่นแหละค่ะ...

ทีนี้ถ้าพูดถึง tense ทุก tense จะต้องเจาะอยู่สามตัวหลักใหญ่ๆก่อน คือ หลักการใช้ โครงสร้าง (บอกเล่า, คำถาม, ปฏิเสธ) และ คำบอกเวลา ตามมาดูเรื่องราวของ คุณเพรส ซิม (Present Simple) กันเลยค่ะ

คุณเพรส ซิม เนี่ย เค้าชอบทำอะไรที่เป็นปกติ เป็นนิสัย เป็นประจำ เป็นปัจจุบัน นอกจากนี้ก็ยังเป็นคนที่ชอบพูดแต่ความจริง พูดแต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ  แล้วก็ยังชอบแสดงอารมณ์ ความรู้สึก ชอบบอกสถานภาพของตัวเองให้คนอื่นรู้ บอกทุกๆอย่างเลย ว่าชอบไม่ชอบอะไร เป็นสีนู้นสีนี้ สรุปคือ เป็นคนเปิดเผยค่ะ บอกทุกสิ่งทุกอย่างให้โลกรู้

เวลาคุณเพรส ซิม เค้าบอกเล่าเรื่องราวปกติเนี่ย เค้าจะมี คุณ เวิร์บหนึ่ง (V.1) ตามมาค่ะ แต่เวลาเค้ามีคำถามหรือปฏิเสธใคร เค้าจะมีผู้ช่วยมาช่วยทำให้คำถามกับการปฏิเสธของเค้าสมบูรณ์ โดยผู้ช่วยของเค้าคือ คุณ ดูหนึ่ง (ช่อง 1 ของ V.to do - do, does)

สุดท้ายของวันนี้คือ คุณ เพรส ซิม เนี่ย เค้าจะมีน้องๆคำบอกเวลาที่เห็นเมื่อไหร่ รู้แน่นอนว่า เป็นคุณเพรส ซิมแน่นอน คือ always, usually, sometimes, seldom, hardly, rarely, every ....., never, once/ twice a week, .... hours a day

หมดแล้วค่ะ Present Simple ฉบับย่อ :)  เดี๋ยวเขียนสรุปโครงสร้างให้นะคะ

Positive (บอกเล่า) - S + V1 (เติม s/es ท้ายกริยาในกรณีที่ประธานเป็นเอกพจน์)
Interrogative/ Question (คำถาม) - Do/Does + S+ V1? (ตัด s/es ออก ถ้ามี does)
Negative (ปฏิเสธ) - S + do/does + not + V1 (ตัด s/es ออก ถ้ามี does)

Tuesday, April 10, 2012

Article (คำนำหน้าคำนาม)

Article หรือ คำนำหน้าคำนามนี้ ในโลกของภาษาอังกฤษทั้งหมดทั้งมวล มีอยู่แค่ 3 ตัวเท่านั้นค่ะ ขอให้จำให้ขึ้นใจคือ a, an, the ไม่พูดอะไรมากแล้วกันนะคะ บิ้วขอเข้าเนื้อหาในเรื่องการใช้ของแต่ละตัวเลยค่ะ

ต้องบอกก่อนว่า เนื้อหาอาจจะไม่ครบ เพราะจุดประสงค์ที่บิ้วเขียนบล็อกนี้ จริงๆแล้ว หลักๆ คือ ต้องการทบทวนบทเรียนให้กับเด็กๆที่ได้เรียนเนื้อหานี้ไปแล้วเท่านั้น ถ้าผู้อ่านบางท่านที่ต้องการทราบเนื้อหามากกว่านี้ ก็สามารถสอบถามเข้ามาได้เลยนะคะ

ขอจัดกลุ่มตามนี้นะคะ
กลุ่มที่ 1 คือ a, an
กลุ่มที่ 2 คือ the
กลุ่มที่ 3 คือ - (ไม่ต้องเติม)

ทีนี้มาดูกลุ่มที่หนึ่งกันค่ะ น้อง a และ น้อง an  ชอบคนคนเดียวกันคือพี่ 1
แต่พี่หนึ่งออกจะเห็นแก่ตัวนิดนึง เพราะไม่ยอมเลือก เอาทั้งสองคน
เวลาไปเที่ยวกับน้อง a พี่หนึ่งจะสวมเสื้อยี่ห้อ พยัญชนะ
แต่เวลาไปเที่ยวกับน้อง an พี่หนึ่งจะสวมเสื้อยี่ห้อ สระ (a, e, i, o,u) และ พยัญชนะที่ออกเสียงเป็นตัว อ

ก็เพราะความหลายใจของพี่หนึ่งเนี่ยแหละค่ะ ทำให้น้อง a และ น้อง an รู้สึกเบื่อได้เหมือนกัน
น้องทั้งสองคนนี้เค้าก็ใช่ย่อยน่ะคะ มีกิ๊กอีกสองคน แถมเป็นคนคนเดียวกันอีก คือ พี่อาชีพ (jobs) กับ พี่เฟิร์สท ไทม์ (First time) ซึ่งกิ๊กทั้งสองคนนี้ เวลาเค้าจะไปไหนกับน้อง a หรือน้อง an เค้าก็ต้องเลือกสวมเสื้อยี่ห้อเหมือนพี่ 1 นั่นแหละค่ะ คือ ถ้าไปกับน้อง a พี่หนึ่งจะสวมเสื้อยี่ห้อ พยัญชนะ
แต่เวลาไปเที่ยวกับน้อง an พี่หนึ่งจะสวมเสื้อยี่ห้อ สระ (a, e, i, o,u) และ พยัญชนะที่ออกเสียงเป็นตัว อ

ส่วนกลุ่มที่สอง น้อง the น้องคนนี้ไม่ชอบพี่ 1 เลยค่ะ แต่ถ้าเป็นพี่ 2 พี่ 3 พี่ 4 พี่ 5 พี่ 6 ไปเรื่อยๆ นี่เห็นทีวิ่งเข้าใส่ แถมยังไม่พอนะคะ น้องคนนี้เค้ายังชอบพี่ สถานที่ที่มีเพียงหนึ่ง (only one place)  กับพี่ ขั้นสุด (superlatives) อีก ชอบเยอะจริงๆ เลยน้า แบบนี้จะสับรางไหวป่าวน้อ???
เอาเป็นว่า เราไม่ยุ่งเรื่องคนอื่นนะคะ ไปดูกลุ่มสุดท้ายกันเลยดีกว่าน้อ :)

มาถึงกลุ่มสุดท้ายกันนะคะ กลุ่มที่ไม่เติมอะไรเลย กลุ่มนี้เค้าจะชอบพูดถึง คนหรือสิ่งของทั่วๆไป ไม่เจาะจง บางทีก็พูดถึงเมืองหรือประเทศ บางทีก็จะพูดถึงคำนามพหูพจน์หรือคำนามนับไม่ได้นะคะ วันๆนึง กลุ่มนี้เค้าจะคุยกันแค่นี้แหละค่ะ

ก็หมดไปแล้วนะคะ สำหรับเรื่อง article หรือคำนำหน้านาม ถ้ามีคำถามหรือข้อสงสัยอะไรก็สอบถามทิ้งไว้ได้เลยนะค้า :)

Sunday, March 18, 2012

Verb (กริยา) ตอนที่ 2

ไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้วนะจ๊ะ เรามาต่อเนื้อหากันเลยดีกว่านะคะ :)

Non - finite Verb ความหมายที่เป็นที่รู้จักคือ "กริยาไม่แท้"
คำว่า Non แปลว่า ไม่ เมื่อมาอยู่ข้างหน้าคำว่า finite จึงแปลแบบนี้นะคะ
แต่ถ้าจะให้แปลตรงตัว คือ "กริยาที่ไม่จำกัดขอบเขต" อธิบาย(ตามความคิดของบิ้ว)
ได้ว่า ตัวเค้าเองไม่ได้จำกัดขอบเขตว่าจะต้องเป็นกริยาเท่านัน ถึงแม้จะรูปเป็นกริยา

ก่อนจะไปอธิบายต่อว่า Non- finite V. นี้มีอะไรบ้าง บิ้วต้องบอกก่อนนะคะ ที่ต้อง
หมายเหตุในวงเล็บไว้ว่า เป็นความคิดของบิ้ว เพราะ บิ้วพยายามหาข้อมูลที่จะเอามาอธิบาย
ที่สามารถอ้างอิงให้เชื่อถือได้ ไม่เจอค่ะ แต่บิ้วก็พยายามโยงและเชื่อมให้ผู้อ่านนึกแล้ว
เข้าใจได้ ว่ามันคืออะไรนะคะ ก็แล้วแต่วิจารณญาณส่วนบุคคล ถ้าใครเห็นว่า สิ่งที่บิ้ววิเคราะห์
อาจจะไม่ถูกต้อง ก็แย้งได้นะคะ ยินดีรับฟังทุกอย่างค่ะ

ทีนี้มาดูกันนะคะ ว่า Non - finite V. มีอะไรบ้าง

ให้นึกเป็นครอบครัวแบบนี้อาจจะช่วยได้นะคะ
คือ คุณนอนไฟไนท์ (Non - finite) มีลูกอยู่ 3 คน คือ น้องอินวิททู (Infinitive with to) น้องเจอ (Gerund)
และน้องพาร์ (Participle) ซึ่งน้องพาร์เนี่ย มีลูกอีกสองคน คือ น้องเพรส (Present) กับน้องพาสท์ (Past)

มาดูลักษณะเด่นของเค้ากันค่ะ

น้องอินเนี่ย ต้องมี to นำหน้าตลอดค่ะ แล้วเค้าก็ชอบทำหน้าที่เป็นคำนามบ้าง หรืออาจจะทำหน้าที่เป็นส่วนขยายบ้าง ก็แล้วแต่สถานการณ์ไปนะคะ แต่จุดที่สังเกตแล้วรู้เลยว่า เป็นน้องอินแน่นอน คือเราจะเห็น to เดินนำหน้าน้องเค้ามาเสมอค่ะ

น้องเจอเนี่ย ต้องมี ing เดินตามหลังตลอดค่ะ และหน้าที่ที่เค้าทำตลอดคือ ทำหน้าที่เป็นคำนามค่ะ

ส่วนน้องพาร์เนี่ย เนื่องจากเค้ามีลูกสองคน ซึ่งลูกเค้ามีรูปร่างหน้าตาต่างกัน แต่ทำหน้าที่เหมือนกันคือ คำหน้าที่เป็น คำคุณศัพท์ (Adjective) ค่ะ เป็นหน้าที่ที่รับผิดชอบประจำเลย และเค้าชอบอยู่หน้าคำนาม
ส่วนเรื่องรูปร่างหน้าตาเนี่ย น้องเพรส พา (Present Participle)  จะมี ing ตามหลังตลอดเลยค่ะ
แต่ถ้าเป็นน้องพาสท์ พาร์ (Past Participle) บางครั้งก็มี ed ตามหลัง บางครั้งก็ไปศัลยกรรมใหม่ คือเปลี่ยนรูปไปเลย ซึ่งจริงๆแล้ว การมี ed หรือ การไปศัลยกรรม ก็อยู่ภายใต้ชื่อที่คนอื่นเรียกเค้าว่า V.3 ค่ะ

หมดแล้วค่ะ สำหรับ Non - finite V. เดี๋ยวบิ้วสรุปสั้นๆ ให้อีกครั้งนะค้า

การสังเกตว่ากริยาตัวไหน เป็น Non - finite V.
1. มี to นำหน้า
2. เป็นกริยาเติม ing แต่อยู่หน้าสุดของประโยค หรือ อยู่ท้ายประโยค และต้องไม่มี v. to be นำหน้า
3. เป็นกริยาเติม ing หรือ V.3 และจะอยู่หน้าคำนาม โดยที่ไม่มี V.to be หรือ V. to have นำหน้า

ตามนี้เลยนะค้า มีข้อสงสัยโพสต์ถามทิ้งไว้เลยจ่ะ :)

ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านนะค้า ถ้าเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็แบ่งปันความรู้ให้คนอื่นๆด้วยนะค้า

Saturday, March 17, 2012

Verb (กริยา) ตอนที่ 1

พูดถึงคำว่า Verb (อ่านว่า เวิร์บ)  ซึ่งแปลว่า "กริยา" เมื่อไหร่ คนส่วนใหญ่ก็มักจะพูดเหมือนกันว่า "กริยา คือ การกระทำ" แต่ถ้าใครที่ค้นคว้ามากขึ้นอีกนิดนึง ก็จะเห็นว่า ยังมีคำกริยาบางกลุ่มที่มีรูปเป็นกริยาก็จริงแต่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกริยา คือไม่ได้ทำหน้าที่ในการกระทำ เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นคำนี้ปุ๊บ ต้องนึกในใจไปด้วยเลยค่ะว่า เราต้องระวังว่า "กริยาบางตัวก็ไม่ได้ทำหน้าที่ในการกระทำ"

ลองมาแปลให้เข้าใจกันอีกครั้งนะคะ

Verb แปลว่า กริยา ซึ่งจะมีการกระทำ (Action Verb) หรือ ไม่มีการกระทำ (Non - action Verb) ก็ได้

ส่วนที่ไม่มีการกระทำนั้น ถ้าเกิดคำถามในใจว่า แล้วถ้าไม่มีการกระทำ แล้วเค้าทำหน้าที่เป็นอะไรล่ะ?
คำตอบก็คือ เค้าทำหน้าที่เป็นส่วนขยายบ้าง ทำหน้าที่ในการช่วยขยายความประโยคบ้าง  แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ในการกระทำแน่นอน ก็ต้องนึกในใจให้ได้แบบนี้ก่อนทุกครั้งเวลาเห็นคำที่มีรูปเป็นกริยา อย่าเหมารวมว่าเป็นกริยาทั้งหมดนะคะ ต้องดูดีๆว่า คำกริยานั้น ทำหน้าที่ในการกระทำจริงหรือเปล่า ก็ต้องสังเกตให้เป็น

สรุปก่อนจะไปเนื้อหาต่อไป คือ กริยา แบ่งออกได้ 2 กลุ่ม คือ
1. Action Verb - มีการกระทำ คือ ทำหน้าที่เป็นกริยาในประโยค
2. Non - action Verb - ไม่มีการกระทำ คือ มีรูปร่างหน้าตาเป็นกริยา แต่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกริยาในประโยค

ที้นี้ ก็จะมาดูกันว่า มีกริยาประเภทใดบ้างที่แสดงการกระทำ หรือไม่แสดงการกระทำแต่มีรูปเป็นกริยา

กริยาประเภทที่แสดงการกระทำ มีอยู่ 3 ตัวคือ
1. Transitive Verb -  ตัว transitive เอง เค้าแปลว่า "สกรรมกริยา"
(http://th.w3dictionary.org/index.php?q=transitive)
แปลไทยให้เป็นไทยอีกทีก็แปลว่า"กริยาที่ต้องการกรรมมารองรับ" เช่น I meet. ฉันพบ เราก็จะรู้สึกตะขิดตะขวงในใจว่า อ่าว! พูดจบแล้วหลอ แล้วพบใครหรืออะไรล่ะ?? เพราะฉะนั้น กริยาคำว่า "พบ" meet นี้ ต้องการกรรมมารองรับ ว่าพบเจอใครหรือสิ่งอื่นใด ถ้าเราลองเติมกรรมให้ประโยคนี้ เช่น I meet Jane. ฉันพบเจน ใจความก็จะสมบูรณ์

อ่านถึงตรงนี้แล้วเกิดคำถามในใจว่า แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่ากริยาตัวไหนต้องการกรรมหรือไม่ต้องการกรรมมารองรับ ให้ความรู้สึกตัวเองบอกเองว่า เอ๊! อ่านแล้วใจความมันสมบูรณ์มั๊ย แปลแค่ประธานกับกริยาแล้วมันโอเครึยัง หรืออีกวิธีนึงคือ ให้สังเกตในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ (บางเล่ม) จะมีบอกว่า กริยาตัวนี้ ต้องการกรรม หรือไม่ต้องการกรรม บางตัวก็เป็นได้ทั้งสองอย่าง อันนี้ต้องอาศัยความคุ้นเคยในการใช้และความสามารถในการแปลด้วย

2. Intransitive Verb -  ตัวของ intransitive ก่อนจะไปแปล ให้มาดูเรื่องของ prefix คำว่า in- กันก่อน
in เมื่อทำหน้าที่เป็น prefix แปลว่า ไม่ ให้ความหมายในทางตรงกันข้าม(ทางลบ) เพราะฉะนั้น Intransitive จึงหมายถึง กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารองรับ (อกรรมกริยา) http://th.w3dictionary.org/index.php?q=Intransitive

หลักการจะคล้ายๆ กับtransitive คือ อ่านประโยคแปลออกมาแล้ว ถ้ามีแค่ประธานกับกริยา แล้วรู้สึกจบในความรู้สึกมั๊ย คำว่าจบมั๊ย ไม่ใช่จบประโยค แ่ต่หมายถึงอ่านแล้วแปลแล้ว เราได้ใจความมั๊ยว่า ประโยคเค้ากำลังพูดถึงอะไร เช่น I run. ฉันวิ่ง อ่านแค่นี้รู้และเข้าใจรึยัง ว่าประธานทำอะไร จำเป็นต้องมีกรรมมารองรับมั๊ย ส่วนเรื่องการตรวจสอบในพจนานุกรมภาษาอังกฤษก็ขึ้นอยู่กับความสนใจของแต่ละคนแล้วนะคะ แต่ถ้าใครชอบใช้ความรู้ึสึกส่วนตัวก็ตามนั้น หรือถ้าใครใช้แล้วยังไม่แม่น ก็แนะนำให้ตรวจสอบจากแหล่งข้อมูลหลายๆที่ เพื่อความแม่นยำในความถูกต้อง และเพื่อความจำและความเข้าใจในระยะยาวของตัวเราเองนะคะ


3. Finite Verb - ตัว finite เอง แปลว่า มีขอบเขต เมื่อรวมกับ verb แล้วก็จะแปลตรงตัวว่า กริยาที่มีขอบเขต แต่จริงๆแล้ว เจ้าFinite Verb นี้ คนทั่วๆไปจะรู้จักกันในคำนิยามว่า "กริยาแท้" ถ้าจะให้บิ้วลองโยงด้วยความคิดของตัวเองว่า คำนิยามทั่วไป กับ ความหมายตรงตัวของคำนี้มันเกี่่ยวข้องกันยังไง บิ้วก็คิดได้ประมาณนี้ค่ะว่า กริยาที่มีขอบเขตนั้น มันมีขอบเขตที่เป็นได้เพียง "กริยา" ถูกจำกัดขอบเขตเป็นได้แค่กริยาเท่านั้น จึงถือว่าเป็นกริยาแท้ ทีนี้คำว่า"กริยาแท้" ต้องแปลไปอีกว่า กริยาคือการกระทำ แท้คือจริง เพราะฉะนั้น กริยาแท้ คือ กระทำจริงๆ

ถ้าเข้าใจย่อหน้าบนนี้แล้ว ถ้าถามว่า อ้าวแล้วจะรู้ได้ไงว่ากริยาตัวไหนคือ finite v. บอกง่ายๆ ค่ะ v.อะไรก็ตามค่ะ ที่มันอยู่ใน tenseหรือ voice ทั้งหมด tense ทั้ง 12 tenses หรือ Active Voice กับ Passive Voice นั่นแหละค่ะ ถ้าใครจะทวนเรื่อง tense ขอให้ย้อนกลับไปอ่านบล็อกอันแรกของบิ้วได้เลยนะคะ ส่วนเรื่อง Active กับ Passive คงจะ้ต้องรอไปก่อนค่ะ ถ้าใครรอไม่ไหว ก็ค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตหรืออ่านจากหนังสือก่อนได้เลยนะคะ :)

สำหรับกริยาที่มีการกระทำก็จะหมดเพียงเท่านี้นะคะ

ต่อไปก็จะเป็นกริยาที่ไม่มีการกระทำ เพียงแต่มีรูปเป็นกริยา ในที่นี้มีอยู่ 2 ตัว
คือ Helping V. (Auxiliary V.) คือกริยาช่วย และ Non - finite V.
ซึ่งเนื้อหาของ กริยาช่วยนั้น บิ้วได้เขียนไปแล้วในบล็อกที่มีชื่อว่า "กริยาช่วยมีอะไรบ้างน้อ"
หรือถ้าใครยังไม่ค่อยกระจ่างความหมายของ Finite V. ก็ให้กลับไปอ่านบล็อกแรกๆ (จำไม่ได้ว่าอันที่เท่าไหร่ แต่มีชื่อบล็อกว่า "ตัวนั้นก็กริยา ตัวนี้ก็กริยา" ดูแล้วกันนะคะ ถ้ามีปัญหาหรือข้อสงสัย สอบถามได้เลยนะคะ แล้วบิ้วจะเข้ามาตอบให้ค่ะ :)

เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ก็จะขอจบเื่รื่องกริยาตอนที่ 1 ไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวตอนที่สองจะเป็นเนื้อหาของ Non - finite V. ค่ะ

ขอบคุณทุกๆคนมากนะค้า ที่เข้ามาเยี่ยมชม


Thursday, March 15, 2012

Adverb (คำกริยาวิเศษณ์)

ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหา มาดูความหมายกันก่อนนะคะ ว่า Adverb คืออะไร ทำหน้าที่อะไร และำตำแหน่งของเค้าอยู่ตรงไหน

คือขอนอกเรื่องนิดนึงค่ะ ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้ แล้วถ้าสังเกตว่า ส่วนใหญ่เวลาบิ้วอ้างถึงคำเหล่านี้ บิ้วจะไม่ค่อยเรียกมัน จะเรียกแทนว่า"เค้า" เพราะบิ้วอยากให้เกียรติถึงสิ่งที่เราเขียนอยู่น่ะค่ะ โอเคนะคะ

Adverb คือ คำกริยาวิเศษณ์ ทำหน้าที่อยู่ 3 อย่างหลักๆ คือ ขยายกริยา ขยายคำคุณศัพท์ และ ขยายตัวเค้าเอง ตำแหน่งที่อยู่ก็ขอกล่าวเรียงจากหน้าที่เลยนะคะ อยู่หลังกริยาที่ไปขยาย อยู่หน้าคำคุณศัพท์ อยู่หน้าคำกริยาวิเศษณ์อีกคำนึง และเพิ่มเิติมให้คือ อยู่ท้ายประโยคค่ะ

ทีนี้ก่อนจะไปถึงประเภท เราจะมาดูกันก่อนว่าที่มาที่ไปของadverb มาจากไหน
ที่มาของadverb ก็มาจาก adjective นั่นแหละค่ะ ที่พูดแบบนี้ เพราะก่อนที่จะกลายมาเป็น adverb ได้ เราต้องเอาคำมาจาก adjective ค่ะ โดยการเติม -ly ไว้ข้างหลัง adjective นั้น ซึ่งก็จะมีกฏในการเปลี่ยนadjective เป็น adverb นอกจากนี้ก็จะมีคำที่เป็นข้อยกเว้น คือคำคำเดียวสามารถเป็นได้ทั้ง adjective แล้วก็ adverb ไม่สามารถเติม -ly ได้ เพราะถ้าเติม-ly ไปแล้ว ความหมายจะเปลี่ยนทันที หรือ เป็นคำที่ไม่มีการใช้ในภาษาอังกฤษนะคะ (กฏเหล่านี้สามารถไปค้นหาข้อมูลใน google ได้เลยนะคะ)

ประเภทของadverb ก็สามารถแบ่งได้เป็นหลักๆ 5 ประเภท

1 Adverb of Manner - Manner หมายถึง ลักษณะท่าทาง หรือ กริยาท่าทาง ก็จะเป็นการตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า How
2 Adverb of Place - Place หมายถึง สถานที่ ก็จะเป็นการตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า where
3 Adverb of Time - Time หมายถึง เวลา ก็จะเป็นการตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า when
4 Adverb of Frequency- Frequency  หมายถึง ความถี่,ความบ่อย ก็จะเป็นการตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า how often
5 Adverb of Degree - Degree  ในที่นี้หมายถึง ความเข้มข้นหรือระัดับ ก็จะเป็นการตอบคำถามในลักษณะ ที่ถามที่เป็นลักษณะของ what extent การที่เขียนว่าตอบคำถามในลักษณะนี้อย่าเข้าใจว่า เป็นการตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำนี้นะคะ เวลาอ่าน อ่านให้หมด อ่านดีๆ อ่านทุกบรรทัด เพราะไม่ใช่ว่า เห็นทุกข้อเขียนเหมือนกันหมด ก็จะเหมารวมว่าเป็นข้อ 5 เหมือนกัน ระวังๆ หน่อยนะค้า เวลาอ่านอ่าจ่ะ ไม่งั้นจะเข้าใจผิดไปเลยน้า โอเคนะคะ